ข่าว

รองอธิบดีกรมชลรับกทม.วางใจไม่ได้100%

รองอธิบดีกรมชลรับกทม.วางใจไม่ได้100%

03 พ.ย. 2553

“รองอธิบดี กรมชลฯ” รับ “กทม.” ยังวางใจไม่ได้ 100 % เชื่อ มารตราการรับมือ “น้ำทะเลหนุนสูง” 6 พ.ย. ยันติดติดตามทุกวันไม่น่ามีปัญหา เผยจะพยายามคุมปริมาณน้ำที่ “อ.บางไทร” ให้ได้ ส่วน “ชี-มูล” ไม่น่าห่วง ชี้ “หาดใหญ่” หากเร่งระดม “เครื่องสูบน้ำ” ระบายสู่

(3พ.ย.) นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ( สส.กก.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในกรุงเทพมหานคร ที่มีกระแสข่าวว่าน้ำทะเลจะหนุนสูงในวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ว่า   ตอนนี้ระดับน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาน้อยลงแล้ว เหลือประมาณ   3 , 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่น้ำจำนวนมากที่ยังค้างอยู่ที่จ. อยุธยาเท่าที่ทราบกำลังเร่งระบายออกไปทางด้านตะวันออกของกทม. ซึ่งตรงนั้นก็ต้องไปเดินปั๊มที่คลองด่าน และปริมาณน้ำยังติดอยู่ที่คลองพระองค์เจ้าไชยยานุชิดว่าจะทะลวงกันอย่างไร  

 ด้านนายวีระ วงศ์แสงนาค   รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า   ขณะนี้ปริมาณน้ำที่ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาลดลงต่อเนิ่อง แต่ลดลงโดยเฉลี่ยวันละประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตร ต่อ วินาที ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ช้า   ซึ่งถือว่า บริเวณตรงจุดนี้ยังไม่เพียงพอดังนั้นปัญหาก็ คือ ว่าก่อนที่จะถึงวันที่ 7 และ 8 พ.ย. กรมชลประทานต้องพยายามผันน้ำให้ออกสู่ด้านทิศตะวันออก   คือ ฝั่งชายทะเลขณะนี้ก็ระบายน้ำเข้าสู่คลองระพีพัฒน์ ได้ประมาณ 100 กว่าลูกบาศก์เมตร เพราะว่ามีปัญหาในเรื่องของประชาชนที่อยู่บริเวณ อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา มีน้ำท่วมขังมาก ทำให้ต้องลดการระบายน้ำลงสู่คลองระพีพัฒน์ภายใน 1-2 วันนี้ เพื่อผันน้ำในทุ่งที่ท่วมในอ.ท่าเรือ ออกมาก่อน   ซึ่งขณะนี้ก็ได้ช่วยเหลือออกมาเรียบร้อยแล้ว และจะตัดคลองระพีพัฒน์ให้รับน้ำได้เพิ่มภายใน 2 วันนี้ เพื่อให้ได้ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที   และเมื่อการระบายน้ำทางฝั่งตะวันออกเริ่มเดินได้ น้ำส่วนนี้ก็จะไปออกยังคลองชายทะเลต่อไป ภายใน 1-2 วันนี้

 ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีนบุรี ลาดกระบังมีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมขัง   รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า   คงไม่เสี่ยงเพราะคลองระพีพัฒน์รับได้ถึง 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่เราเอาเข้าไปแค่ 200 ลูกบาศก์เมตรพอ

 ขณะที่นายรอยล กล่าวว่า   ปริมาณน้ำเข้ามาเท่าไหร่ก็จะสูบออกเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะไม่ท่วมขังอยู่บริเวณมีนบุรี หนองจอกแน่ๆ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่าวันที่ 6-8 พ.ย.ยังไม่มีอะไรบ่งบอกว่าจะมีเหตการณ์วิกฤติท่วม กทม.ใช่หรือไม่   นายรอยล กล่าวว่า ถ้าหากสามารถระบายผ่านคลองระพีพัฒน์ได้เพิ่มขึ้น เราก็จะเดินเครื่องสูบน้ำที่ อ.คลองด่าน สมุทรปราการได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าการระบายยังติดขัดอยู่อย่างนี้การที่จะเดินสูบที่คลองด่านก็ทำได้ไม่เต็มที่

 ส่วนปัญหาน้ำทะเลหนุนในช่วงดังกล่าวนั้น นายวีระ กล่าวว่า   เรื่องของน้ำทะเลหนุนประเด็นปัญหา คือ น้ำจาก อ.บางไทรที่จะต้องเข้าสู่กทม. ต้องให้อยู่ในอัตรา 3 , 100 - 3,200 ลูกบาสก์เมตร เพราะถ้าสูงกว่านี้ก็จะเป็นปัญหาของน้ำทะเลหนุน ดังนั้นเราต้องพยายามดูปริมาณน้ำตรงนี้ให้ได้ ซึ่งขณะนี้ก็ยังสูงอยู่ ก็คาดว่าภายใน 2-3 วันข้างหน้าเราจะลดปริมาณจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ให้ลดลง    จนเหลือน้อยที่สุดซึ่งระบายเพียงแค่ 100 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น เพราะฉะนั้นในส่วนของเจ้าพระยาก็จะไหลลงได้เร็วขึ้นก่อนถึงวันที่ 7 พ.ย.   ปริมาณน้ำก็จะเริ่มลดลง ซึ่งที่ อ. บางไทร คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 3,000    ถ้า 3,000 ก็น่าจะพอบรรเทา

 ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า กทม.วางใจได้ 100 %   รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า   ยังไม่ยืนยัน 100 % แต่จะพยายามคุมปริมาณน้ำที่ อ.บางไทรให้ได้   ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าสถานการณ์จะวางใจได้ใช่หรือไม่   นายรอยล กล่าวต่อว่า ตนยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ว่าในช่วงวันที่ 24-25 ที่ผ่านมา   น้ำทะเลหนุนประมาณ 1.15 เมตร จากนั้นก็มีน้ำเหนือลงมาบวกประมาณ 1 เมตรกว่า เพราะฉะนั้นตอนนี้ที่กรมชลประทานพยายาม คือ จะให้บวก 80 เซนติเมตรถ่บวก 80 ซ.ม.ก็รอด

 ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมีจุดไหนบ้าง นอกเหนือจากกทม.ที่ยังไม่น่าไว้วางใจ นายวีระ กล่าวว่า สำหรับกทม.นั้นจะบอกว่าไม่น่าไว้วางใจก็มาเชิง ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นกระบวนการดำเนินการยังมีเวลา กว่าจะถึงวันที่ 6 พ.ย.ก็อีก 3 วัน ซึ่งเราคิดว่ามาตราการที่วางเอาไว้น่าจะเวิร์ค แต่เราก็ติดติดตามทุกวันว่าสิ่งที่เราคิดและวางแผนเอาไว้   เป็นไปตามแผนหรือไม่ เพื่อให้ได้ตามที่เราคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา

 ส่วนกรณีของแม่น้ำชีและมูลนั้น   รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า   ขณะนี้ปริมาณน้ำมูลก้อนใหญ่ยังไปไม่ถึง อ.วารินชำราบ   จ.อุบลราชธานี คาดว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ แต่ไม่น่าป็นห่วงเพราะปริมาณมาสูง เท่าที่ติดตามและตรวจสอบล่าสุดเช้าวันนี้ปริมาณอัตราการไหลสูงสุด แค่ 2,300 กว่าลูกบาศก์เมตรต่อวินาที   เพราะฉะนั้นดูแล้วจากลำน้ำมูลที่เดินทางเข้าไปถึง ไม่เกิน 2,600 ลูกบาศก์เมตร

 สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้นั้น นายวีระ กล่าวว่า ที่อ.หาดใหญ่ช่วงที่ฝนเข้ามาจากการไหลของน้ำแรงมาก น้ำขึ้นเร็วมาก หลังจากฝนหยุดตกไปแล้ว ณ วันนี้ ณ ช่วงเวลานี้เราได้ติดตามว่าสถานการณ์ว่าลดลงอย่างรวดร็ว   หลายถนนในอ.หาดใหญ่ที่ท่วมอยู่ 1.50 เมตร ขณะนี้หลายแห่งเหลืออยู่ 50 ซ.ม.บ้าง   30 ซ.ม.บ้าง ถือว่าลดลงไปกว่าเดิมมาก

 ผู้สื่อข่าวถามว่า   เห็นว่าแอ่งกระทะยังท่วมอยู่ 2 เมตรกว่า   รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า   ที่ลุ่มต่ำจริงๆยังมีอยู่ ที่ท้ายๆเมืองลงไป เพราะน้ำจะไหลไปยังทิศตะวันออก เนื่องจากที่ตัวอำเภอเมืองหาดใหญ่   เนื่องจากสโลปเอียงพื้นที่ทางตอนบนจะค่อยๆหาย น้ำก็จะไปตุงอยู่ตอนล่าง  

 ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าถ้าฝนไม่ตกอีก 2-3 วันก็น่าจะลง นายวีระ กล่าวว่า เราคงจะต้องไปดูจุดต่ำของเมือง และเร่งระดมเครื่องสูบน้ำเข้าไปช่วยในพื้นที่ลุ่มต่ำ   และระบายเข่าสู่คลองของตัวเมืองหาดใหญ่ คือ คลองเตย ไปออกยังโครงการบรรเทาอุทกภัยตามพระราชดำริ   ไปออกคลองร. 4   และคลอง ร. 3 แล้วไหลลงสู่ทะเล   ถ้าทำตรงนี้ได้ปํญหาในเมืองก็จะเบาลง นอกจากนี้ในตัวเมืองทางเทศบาลเมืองมีระบบป้องกันของเมืองพร้อมอยู่แล้ว   เพราะฉะนั้นถ้าเขาเดินเครื่องสูบเต็มที่เข้าสู่คลองเตย และคลองอู่ตะเภา ปัญหาก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว

 ผู้สื่อข่าวถามว่า จังหวัดอื่นๆที่ต้องระวังมีจังหวัดใดบ้าง   นายรอยล กล่าวว่า จ. พัทลุง ทางพัทลุงถ้าระบายไปพร้อมกับหาดใหญ่ก็จะสร้างปัญหาเหมือนกัน เพราะพัทลุงจะลงที่ทะเลสาปสงขลา ซึ่งเรื่องนี้คงต้องหารือกันว่าจะตัดน้ำจากพัทลุง ออกอ่าวไทยโดยตรงได้อย่างไรเพื่อเสริมการระบายน้ำของหาดใหญ่ให้สำเร็จ

เตือนบางซ้าย-ลาดบัวหลวงรับมือน้ำท่วม

 เมื่อเวลา 13.00 น. ระดับน้ำในแม่น้ำน้อยที่ไหลผ่าน อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 13 ซม. โดยเฉพาะพื้นที่ ต.กุฎี อ.ผักไห่ ชาวบ้านกว่า 500 หลังคาเรือน ถูกน้ำท่วมเพิ่มขึ้นอีก

 เบื้องต้นนายเรวัต ประสงค์ นายอำเภอผักไห่ สั่งให้ชาวบ้าน ต.กุฎี ขนย้ายสิ่งของหนีน้ำอีกระยะ เพราะน้ำในทุ่ง ต.กุฎี สูงกว่าแม่น้ำน้อยถึง 20 ซม. ส่วน ต.ลำตะเคียน ขณะนี้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะน้ำในแม่น้ำน้อย ที่รับน้ำมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น จนต้องเปิดประตูระบายน้ำลาดชะโด เพื่อระบายน้ำส่วนหนึ่งเข้าไปยังทุ่งลำตะเคียน

 ขณะเดียวกันน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ อ.เสนา ได้ไหลย้อนกลับด้านหลังท่วม ต.ลำตะเคียน อ.ผักไห่ เพิ่มเติม จนนักเรียนต้องเดินลุยน้ำสูงกว่า 50 ซม. เข้าไปยังตัวอาคารเรียนเพื่อเรียนหนังสือ ส่วน ต.ลาดชิด อ.ผักไห่ ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับ ต.ลำตะเคียน ถูกน้ำไหลเข้าท่วมแล้วเช่นกัน

 นายเรวัต กล่าวว่า น้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ อ.ผักไห่ มากขึ้นเป็นเพราะ คันดินกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่ จ.อ่างทอง ทำให้น้ำจาก จ.อ่างทอง ไหลบ่าลงทุ่ง อ.ผักไห่จนทำให้น้ำเพิ่มมากขึ้น และน้ำจำนวนนี้จะไหลลงท่วมด้านท้ายของ อ.ผักไห่

 นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ในฐานะศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า หากน้ำจาก จ.อ่างทอง ไหลบ่าลงทุ่ง อ.ผักไห่ จะทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในทุ่งเจ้าเจ็ด อ.เสนา อ.บางซ้าย และ อ.ลาดบัวหลวง ถูกน้ำท่วมเพิ่มเติม และแนวโน้มปริมาณน้ำอาจจะเท่ากับน้ำที่ท่วมเมื่อปี 2549 นอกจากนี้น้ำทั้งหมดจะไหลลงพื้นที่ฝั่งตะวันตก จ.ปทุมธานี และ จ.นนทบุรี ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ใต้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะต้องเตรียมรับมือกับปัญหาน้ำท่วม

 สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดใน จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนี้มีทั้งหมด 16 อำเภอ 193 ตำบล 1 , 340 หมู่บ้าน ชาวบ้าน 131 , 908 ครัวเรือน รวม 406 , 412 คน ถูกน้ำท่วม มีผู้เสียชีวิต 8 ราย พื้นที่การเกษตร 341 , 812 ไร่ ถูกน้ำท่วม ถนนเสียหาย 100 สาย สะพานชำรุด 1 แห่ง โบสถ์คริสต์เสียหาย 2 แห่ง มัสยิด 31 แห่ง วัด 428 แห่ง โรงเรียน 100 แห่ง และสถานที่ราชการ 98 แห่ง มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 5 , 244 ล้านบาท

ช้างคลอดลูกในน้ำที่อยุธยาตั้งชื่อ”สายชล“
 
 เมื่อเวลา 10.00 น.นาย เรียงทองบาท มีพันธ์ อายุ 25 ปี ผู้จัดการวังช้างอยุธยาแลเพนียด พร้อมด้วยควาญช้างจำนวน 7 คนได้เดินทางไปยังป่าละเมาะใกล้กับวัดป้อมรามัญ ม.6 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา หลังรับแจ้งจากควาญช้างว่าพังพุดซ้อน อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตั้งท้องได้ตกลูกออกมาบนเกาะซึ่งอยู่ในป่า ที่มีน้ำล้อมรอบ จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ

 พบว่าจุดที่ช้างพังพุดซ้อนอยู่นั้นเป็นเนินดิน มีน้ำล้อมรอบ โดยน้ำลึกเกือบ 1 เมตร สภาพเหมือนกับเกาะ โดยมีลูกช้างเพศเมียที่เพิ่งเกิด น้ำหนักประมาณ 90 ก.ก.กำลังพยายามดูดนมที่ใต้ท้องอย่างน่าเอ็นดู  นอกจากนี้ยังพบว่าช้างได้ยืนแช่น้ำอยู่ด้วย จึงรีบจูงช้างแม่ลูก เดินลุยน้ำจากป่า ซึ่งห่างถนนประมาณ 10 เมตร แล้วพากันเดินต่อไปยังบริเวณเนินดินใกล้กับเพนียดคล้องช้าง ม.3 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อทำการอนุบาล
 
 นายเรียงทองบาท เปิดเผยว่า น้ำจากแม่น้ำลพบุรี ได้ท่วมเข้าเพนียดคล้องช้างมานานหลายสับดาห์ โดยมีระดับน้ำสูงประมาณ 1- 2.50 เมตร และได้ท่วมหมู่บ้านควาญช้าง โรงเลี้ยงช้าง วัสดุต่างๆจมน้ำทั้งหมด ทางวังช้าง โดยนายลายทองเหรียญ มีพันธ์ ประธานชมรมพระคชบาล ต้องขนย้ายช้าง 100 กว่าเชือกออกไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆที่น้ำไม่ท่วมเช่นที่ชุมชนหลังโรงงานสุราเดิม บริเวณวัดป้อมรามัญซึ่งเป็นจุดที่ช้างพังพุดซ้อนอยู่

 โดยวังช้าง ยังมีช้างแม่ลูกที่มีลูกช้างน้อยที่ต้องดูแลอีก 6 เชือก ซึ่งช้างพังพุดซ้อน ผสมพันธ์กับช้างพลายคชาเลิศฟ้า อายุ 24 ปี และตกลูกออกมาช่วงน้ำท่วมพอดี ท่ามกลางความลำบากของช้างและคน จึงตั้งชื่อว่า "สายชล"