
ดวงจำปา
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมข้ามโขงไปทำข่าวที่เวียงจันทน์เป็นครั้งแรก อาศัยใจรักด้านวรรณกรรม จึงซอกซอนหา "นักเขียนลาว" จนได้พบกับนักเขียนหนุ่ม 3-4 คน อันนำไปสู่การเสวนากันอย่างไม่เป็นทางการที่สำนักงาน "วันนะสิน" บริเวณวงเวียนน้ำพุ
แม่งานใหญ่ในวันนั้นคือ "ดารา กันละยา" บรรณาธิการผู้ก่อตั้งวารสารวันนะสิน หรือเจ้าของนามปากกา "ดวงจำปา"
หนึ่งในหัวข้อสนทนาคือ ลาวพร้อมแล้วที่จะเข้าร่วมการประกวดวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียนหรือยัง? ซึ่งได้คำตอบว่า "พร้อม" แต่ พ.ศ.โน้น อาเซียนยังไม่ได้ต้อนรับ ส.ป.ป.ลาวเข้าเป็นสมาชิก
จึงรอเวลามาอีกนานปี กว่าซีไรต์คนแรกของลาวจะข้ามโขงมารับรางวัลที่บางกอก
นักเขียนลาวในวงสนทนาครานั้น มี 3 คนแล้วที่ได้รับรางวัลซีไรต์ และสองในสามคือ เอื้อยดารากับเอื้อยดวงเดือน ทายาทมหาปราชญ์สองฝั่งโขง
เมื่อวันที่ได้ทราบข่าวว่า "ดวงจำปา" คว้ารางวัลซีไรต์คนที่ 13 ของ ส.ป.ป.ลาว ด้านหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกว่า "ความเป็นดวงจำปา เหนือกว่ารางวัลซีไรต์"
"ดวงจำปา" หรือ ดารา กันละยา เป็นลูกสาวคนแรกของมหาสิลา วีระวงส์ กับมาลี วีระวงส์
ชื่อ "ดวงจำปา" ปรากฏอยู่ในหนังสือและวารสารต่างๆ มากกว่า 47 ปี เอื้อยใหญ่แห่งวงวรรณกรรมฝั่งซ้าย เขียนทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี สารคดี บทละคร และแปลวรรณกรรมต่างประเทศ
มีผลงานเรื่องสั้นและนวนิยาย 60 เรื่อง บทกวีกว่า 80 บท โดยจัดพิมพ์เป็นเล่มแล้วคือ กุยกลิ่นสาวคาวผู้ชาย, ทะเลชีวิต, บ่บานบ่หอม, หนาวใจ, ฟ้าใหม่ ,ก่อนจะถึงวันนั้น, ฟ้าปิ้น และนางคนนั้น
ตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา ดวงจำปาวางมือจากงานเขียน ทุ่มเทเวลาให้แก่งานปกปักรักษาหนังสือใบลาน อันเป็นโครงการร่วมมือระหว่างลาวกับเยอรมนี
นอกจากนี้ ยังจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเด็ก ซึ่งในปัจจุบันได้มีการเคลื่อนไหวอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
ในโลกสมัยใหม่ เอื้อยดารา ยังเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ "วารสารไอซีทีลาว" ช่วยลูกชายที่รับหน้าที่ฝ่ายการตลาดของวารสารเล่มดังกล่าว
ต้นเดือนสิงหาคม สมาคมนักประพันธ์ลาว แถลงข่าวว่า บทกวีชื่อ “บ่มีแต่เจ้า” โดยดารา กันละยา ได้รับรางวัลซีไรต์ 2553
"ดวงจำปา" แสดงความรู้สึกผ่านสื่อมวลชนว่า การงานของข้าพเจ้า ทำให้ต้องเดินทางมาก ได้เห็นแม่หญิงในชนบท อุ้มลูกน้อย ทั้งหาบข้าวหาบฟืน จึงได้วรรคหนึ่งของกลอนว่า "ฟืนอยู่เทิงจอมเขา ข้าวอยู่เทิงปลายฟ้า"
"บทกลอนนี้ เขียนถึงความฮักของแม่ ข้าพเจ้าขอสรรเสริญแม่ ที่เลี้ยงลูกด้วยความทุกข์ยากลำบาก"
อันที่จริง กวีบทที่ชื่อ "บ่มีแต่เจ้า" เป็นหนึ่งในหนังสือรวมบทกวี "ฮักดอก..จึ่งบอกมา" ซึ่งหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ภาคด้วยกัน ภาคที่ 1 ความงาม ความรัก ครอบครัว มีบทกลอน 14 ชิ้น ภาคที่ 2 ไปตามทาง มีบทกลอน 9 ชิ้น
ผมนั่งอ่านบทกวีของดวงจำปาทุกชิ้นจบลง ก็เหมือนได้เรียนรู้ "สังคมลาว" ผ่านปลายปากกาของเอื้อยใหญ่ผู้มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินลาวทั้ง "สองระบอบ"
จะว่าไปแล้ว ผลงานของดวงจำปาเสมือน "บทวิจารณ์สังคม" ในท่วงทำนอง "ติแกมชม"
ใครที่อยากเรียนรู้สังคมลาวในยุค "ทุนนิยมพอกะเทิน" เชิญอ่านหนังสือเล่มนี้ มีความนัยให้ได้ขบคิดระหว่างบรรทัดทุกบท
แคน สาริกา