ข่าว

จับพระ2ปคาวัดร่วมฆ่า-เผาอำพรางสาวแปดริ้ว

จับพระ2ปคาวัดร่วมฆ่า-เผาอำพรางสาวแปดริ้ว

03 ต.ค. 2553

อ้างแค้นฝ่ายหญิงตีตัวออกห่าง-จ้างวางเพลิงกุฏิ ตร.ไม่ปักใจเชื่อ สองพระหนุ่มสัมพันธ์ลึกซึ้งเชื่อปมหึงหวง ล่าฆราวาสร่วมก๊วนอีก 1 จนท.หิ้วทำแผนชาวบ้านนับพันตะโกนแช่งประหารชีวิต

การเสียชีวิตอย่างน่าอนาถของ น.ส.ธิติยาพันธ์ พุ่มอรุณ หรือแอ้ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 174/2 หมู่ 1 ต.หัวไทร อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา หลังคนร้ายฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ใช้ปืนจ่อยิงแล้วเผาอำพรางคารถเก๋ง เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ในซอยโชคอนันต์ 1 ทางเข้าหมู่บ้านชวดโสน หมู่ 4 ต.หัวไทร อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

 ล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 ตุลาคม พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ต.กิตติพงษ์ เงามุข ผบก.บก.สส.บช.ภ.2 พล.ต.ต.มณฑล มีอนันต์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา (ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา) พ.ต.อ.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล พ.ต.อ.โชคชัย เหลืองอ่อน รอง ผบก.สส.บช.ภ.2 พ.ต.อ.วินัย จิตตปรุง รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.ชุติเดช จันทร์ทรง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.ภ.2 พ.ต.อ.ณรัฐ รัตนจินดา ผู้กำกับการ (ผกก.) สภ.บางคล้า ร่วมกันแถลงการจับพระกิตติพงษ์ ยะอนันต์ อายุ 28 ปี เลขานุการเจ้าอาวาสวัดหัวไทร และพระศุภกิจ เกตุแก้ว อายุ 25 ปี พระลูกวัด สองผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า น.ส.ธิติยาพันธ์ โดยจับกุมได้ที่วัดหัวไทร หมู่ 2 ต.หัวไทร อ.บางคล้า

 ก่อนนำตัวมาแถลงข่าวเจ้าหน้าที่นำพระทั้ง 2 รูป ไปให้เจ้าอาวาสวัดหัวไทรทำพิธีสึกและนำตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมอย่างหนักที่เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางคล้า กระทั่งผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุอีก 1 คน คือนายเอก ไม่ทราบนามสกุล อยู่ระหว่างการหลบหนี เจ้าหน้าที่เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับกุมต่อไป นอกจากนี้ยังมีนายสมัคร คงรัตน์ หรือจ้อน เพื่อนของพระศุภกิจ คนขับรถดูเส้นทางก่อนลงมือ ซึ่งให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ถูกกันไว้เป็นพยาน

 ต่อมาตำรวจได้นำพระศุภกิจ และพระกิตติพงษ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเผาศพและรถยนต์ของผู้ตายเพื่ออำพรางคดี โดยพระศุภกิจ พระกิตติพงษ์ และนายเอก ร่วมกันวางแผนฆ่า น.ส.ธิติยาพันธ์ ก่อนลงมือในช่วงบ่ายวันที่ 30 กันยายน จากนั้นพระศุภกิจได้วานนายสมัครให้ขับรถปิกอัพมิตซูบิชิ สีเขียว ทะเบียน 7 ผ 3975 กรุงเทพมหานคร ของตัวเอง พาตระเวนดูเส้นทางตามจุดต่างๆ บริเวณริมคลองชลประทานในเขต ต.คลองจุกเฌอ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา แล้วย้อนกลับไปที่วัดหัวไทร เพื่อโทรศัพท์ติดต่อกับ น.ส.ธิติยาพันธ์ นัดหมายผู้ตายว่า หลังเลิกงานให้ไปพบที่บริเวณริมคลองชลประทาน ซึ่งเคยนัดพบกันมาก่อน

 กระทั่งเวลา 19.00 น. พระศุภกิจขับรถปิกอัพคันเดิมออกจากวัดเพียงลำพัง จากนั้นจอดรถริมทางเพื่อเปลี่ยนชุดจีวรออก แล้วสวมเสื้อยืดกางเกงยีน และขับรถมุ่งหน้าไปรอผู้ตายตามจุดที่นัดหมาย ต่อมาเวลา 20.00 น. น.ส.ธิติยาพันธ์ขับรถเก๋งโตโยต้า รุ่นโคโรล่า สีแดง ทะเบียน กข 1583 ฉะเชิงเทรา มาถึง พระศุภกิจจึงเดินตรงไปหา พร้อมกับชักชวนให้ผู้ตายไปนั่งคุยกันที่เบาะด้านหลังเพื่อตกลงบางสิ่งบางอย่าง

 เมื่อผ่านไปราว 30 นาที ทั้งสองคนไม่สามารถตกลงกันได้ พระศุภกิจจึงชักปืนพกสั้นขนาด .38 ที่เตรียมมาล็อกคอจ่อยิงที่เหนือคิ้วขวาของ น.ส.ธิติยาพันธ์ 1 นัด จนล้มฟุบลงกับเบาะ แต่ น.ส.ธิติยาพันธ์ยังไม่เสียชีวิตทันที ดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือ พระศุภกิจจึงชักมีดพกสั้นที่เตรียมมาจ้วงแทงไปอีก 7-8 ครั้ง กระทั่ง น.ส.ธิติยาพันธ์ แน่นิ่งไป จากนั้นพระศุภกิจได้ขับรถเก๋งออกไปตามเส้นทางเขื่อนทดน้ำบางปะกง-คลองเขื่อน-ปากน้ำ-มุ่งหน้าไป ต.หัวไทร โดยมีร่าง น.ส.ธิติยาพันธ์ นอนสิ้นใจอยู่ที่เบาะหลัง ระหว่างทางพระศุภกิจโทรศัพท์ติดต่อกับนายเอกให้ขับรถโตโยต้าไปรับพระกิตติพงษ์ที่วัดหัวไทร แล้วแวะเอาน้ำมันดีเซลที่เตรียมไว้ที่บ้านของพระศุภกิจ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพื่อเผาอำพรางศพที่จุดนัดหมาย

 เมื่อถึงจุดเผาศพพระศุภกิจจอดรถชิดขอบถนนใต้ต้นสะแก ไม่นานนายเอกและพระกิตติพงษ์ก็มาถึง ทั้งสามช่วยกันเผาศพ น.ส.ธิติยาพันธ์ โดยนายเอกถือแกลลอนน้ำมันเปิดประตูด้านหลังรถ เทน้ำมันราดเบาะและร่างผู้ตาย แล้วโยนแกลลอนไว้ในรถ พระกิตติพงษ์เป็นผู้ใช้ไฟแช็กจุดที่เบาะจนไฟลุกโชนทั้งคันจึงพากันขับรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุย้อนไปยังคลองชลประทานในพื้นที่ อ.เมือง นำรถปิกอัพของพระศุภกิจไปจอดที่วัดหัวไทร โดยพระศุภกิจเป็นคนขับไปพร้อมกับพระกิตติพงษ์ ระหว่างทางได้โยนอาวุธปืนและมีดพกที่ใช้ก่อเหตุทิ้งแม่น้ำบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง อ.คลองเขื่อน แล้วขับรถกลับเข้าวัดเวลาประมาณ 23.40 น. ส่วนนายเอกขับรถหลบหนีไป

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนำตัวสองผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีประชาชนเกือบ 1,000 คน แห่กันไปที่บริเวณเกิดเหตุ ต่างร้องตะโกนสาปแช่งต่างๆ นานา บางคนตะโกนให้นำไปประหารชีวิต บางคนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย และทำให้เสื่อมเสียวงการศาสนา โดยตำรวจใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนจะนำตัวไปควบคุมไว้ที่ สภ.บางคล้า

 พระศุภกิจให้การว่า รู้จักคุ้นเคยกับ น.ส.ธิติยาพันธ์ นานหลายปี เพราะบ้านผู้ตายอยู่หน้าวัดและเคยคบกันอย่างลึกซึ้ง ภายหลังเริ่มมีปัญหา หลังจากที่ผู้ตายถูกวางยาและเข้าใจว่าตนเป็นคนทำ จากนั้นก็ถูกลอบวางเพลิงกุฏิ ถูกโทรศัพท์ข่มขู่จะฆ่า ซึ่งสืบได้ว่า น.ส.ธิติยาพันธ์ เป็นคนว่าจ้างให้มีคนทำ จึงวางแผนลวงไปฆ่าทิ้ง

 ขณะที่พระกิตติพงษ์สารภาพว่า ร่วมกันกับพระศุภกิจและนายเอกฆ่าและเผา น.ส.ธิติยาพันธ์ จริง

 พล.ต.ท.ไถง กล่าวว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคลและพยานแวดล้อม ยืนยันว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับการตายของ น.ส.ธิติยาพันธ์ จำนวน 3 คน และวางแผนไว้ล่วงหน้า ขณะนี้สามารถจับกุมได้ 2 คน คือพระศุภกิจ และพระกิตติพงษ์ ตามหมายจับของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การรับสารภาพ และมีมูลเหตุมาจากความแค้นที่ผู้ตายพยายามจะตีจาก เพราะถูกครอบครัวกีดกัน จึงลวงมาเจรจาแล้วฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด ขณะนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ช่วยเหลือ ซ่อนเร้นอำพรางศพ เพื่อปกปิดความผิด โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว ส่วนที่หลบหนีไป 1 คน คือนายเอก ไม่ทราบนามสกุล จะสืบสวนและรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดฉะเชิงเทราออกหมายจับกุมต่อไป

 “คดีนี้โหดร้ายทารุณมาก ขณะเกิดเหตุผู้ต้องหาเป็นพระสงฆ์และบวชมานาน 4-5 พรรษา ชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนทำบุญตักบาตรอย่างสม่ำเสมอ ฉันข้าวฉันน้ำที่ชาวบ้านไปทำบุญ แล้วยังมาก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหดได้ นับเป็นเรื่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาด่างพร้อย แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนที่มาอาศัยผ้าเหลืองบังหน้าเท่านั้น ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะครอบครัวของผู้ตาย จะทำคดีนี้ให้เป็นตัวอย่าง ให้มีการลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต” พล.ต.ท.ไถง กล่าว

 พล.ต.ต.กิตติพงษ์ ในฐานะหัวหน้าชุดคลี่คลายคดี กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเกิดจากบันดาลโทสะคงไม่ใช่ แต่เป็นการวางแผนร่วมกันมาก่อน จากการสืบสวนทราบว่า น.ส.ธิติยาพันธ์ ซึ่งมีบ้านอยู่หน้าวัดหัวไทรเคยมีความสัมพันธ์กับพระศุภกิจมานานแล้ว นอกจากนี้เคยมีปากเสียงกับพระกิตติพงษ์ แบบต่างคนต่างหึงหวง ขณะเดียวกันพระศุภกิจและพระกิตติพงษ์ ซึ่งบวชจำพรรษาที่วัดหัวไทรด้วยกัน 4-5 ปี ชาวบ้านในละแวกวัดเปิดเผยว่า พระทั้งสองรูปสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

 "ก่อนหน้านี้เกือบปี ผู้ตายถูกวางยาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่แพทย์ช่วยชีวิตไว้ทัน ผู้ตายเชื่อว่าเป็นฝีมือของพระทั้งสองรูป มาระยะหลังฝ่ายหญิงพยายามตีตัวออกห่าง ทำให้พระศุภกิจเกิดความไม่พอใจ จึงร่วมกันกับพระกิตติพงษ์ ซึ่งมีความแค้นอยู่แล้ว วางแผนกำจัดให้หมดเสี้ยนหนาม โดยลวงผู้ตายไปพบแล้วก่อเหตุดังกล่าว" พล.ต.ต.กิตติพงษ์ กล่าว