ข่าว

เริ่มนับหนึ่งตท.12กระชับอำนาจ

เริ่มนับหนึ่งตท.12กระชับอำนาจ

01 ต.ค. 2553

วันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ถือเป็น "วันสุดท้าย" ในชีวิตราชการของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งครองเก้าอี้อย่างเหนียวแน่นยาวนานถึง 3 ปี

การที่สามารถนั่งเก้าอี้ร้อนๆ ได้นานถึง 3 ปี ทั้งที่ต้องก้าวผ่านขวากหนามมากมาย ทั้งศึกเสื้อเหลือง-เสื้อแดง หรือการเข้ามาเป็น ผบ.ทบ.ในยุครัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแห่ง "ตท.10" ที่มีสิทธิ์ตกเก้าอี้ทุกนาที

 แสดงให้เห็นถึงความ "ไม่ธรรมดา" ของชายผู้นี้ที่ถูกจัดว่าเป็น ตท.10/1 ได้เป็นอย่างดี เพราะแม้จะมีมรสุมพัดกระหน่ำเข้าใส่มากมายแต่เขาก็ยังยืนหยัดมาได้โดยไม่ถูกปลด หรือต้องทำ "รัฐประหาร" เพื่อตัดวงจรแห่งปัญหา เหมือนกับ ผบ.ทบ. มากหน้าหลายตาในยุคก่อนหน้านั้น

 ทว่า วันนี้ดุลแห่งอำนาจได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยคนที่จะมาขึ้นขี่เสือแทนเขา คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แห่งรุ่น "ตท.12" และน้อง "บูรพาพยัคฆ์" ของ พล.อ.อนุพงษ์

 วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นวันแรกในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ของ พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นยุคผลัดใบแห่งอำนาจจาก ตท.10 มาสู่ ตท.12 อย่างเป็นทางการ

 ที่น่าสนใจ คือเขาจะอยู่ไปจนครบวาระไปจนถึงปี 2557 เหมือนกับที่ พล.อ.อนุพงษ์เคยทำได้หรือไม่ หรือจะเดินซ้ำรอย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และประธาน คมช. ที่จำต้องเลือกการรัฐประหารเพื่อตัดวงจรแห่งปัญหา !?

 หากพิจารณาอำนาจในกองทัพของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อเทียบกับ พล.อ.อนุพงษ์ แล้วจะพบว่า ในช่วงการเข้ามาดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ มีขุมกำลังที่แน่นหนากว่า พล.อ.อนุพงษ์มาก

 กล่าวคือ พล.อ.อนุพงษ์ก้าวเข้ามาในยุคที่ระดับ "คุมกำลัง" ล้วนเป็นขุมอำนาจเก่าแทบทั้งสิ้น แม้จะมีการปรับนายทหารระดับ "ปฏิบัติการ" ในยุค พล.อ.สนธิ มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ พล.อ.อนุพงษ์ก็ต้องเขย่าโผอยู่หลายรอบถึงจะกุมอำนาจได้มั่นคง

 ผิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีสิทธิ์เลือกนายทหารระดับคุมกำลังทั้ง "แม่ทัพภาค" และ "ผู้บัญชาการกองพล" เองตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในกองทัพภาคที่ 1-3 ซึ่งเป็นทั้งศูนย์อำนาจ และฐานที่มั่นของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม

 การจัดวางนายทหารรุ่น "ตท.12" ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นในทุกองคาพยพของกองทัพ เป็นการ "กระชับอำนาจ" ให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างแน่นหนา

 เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งยอดสุดในไลน์ 5 เสือ ทบ. ที่ดันเพื่อน ตท.12 คือ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นเสนาธิการทหารบก

 ตำแหน่งแม่ทัพภาค แม้ พล.ต.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 จะเป็น "ตท.14" แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น "น้องบูรพาพยัคฆ์" ขณะที่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 เป็น ตท.12 ทั้งคู่

 โฟกัสเฉพาะตำแหน่ง เสธ.ทบ. เรื่อยไปจนถึงตำแหน่งแม่ทัพภาค ซึ่งล้วนมีแต่เพื่อน "ตท.12+บูรพาพยัคฆ์" ขึ้นคุมกำลัง แสดงให้เห็นว่า ขุมกำลังของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความมั่นคงแน่นหนาประดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็กเลยทีเดียว !!

 หากนับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เข้าไปอีกคน เรียกได้ว่า ทุกวันนี้ ตท.12 ก้าวขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งกองทัพสีเขียวและสีกากี

 ประวัติศาสตร์นั้นไม่เคยลืมเลือนว่า เมื่อนายทหารรุ่นเดียวกันขึ้นครองอำนาจในทุกเหล่าทัพ เหตุไม่คาดฝันก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

 "จปร.5" ภายใต้รหัสรุ่น 0143 อันเกรียงไกร ก็ทำการยึดอำนาจ รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534

 "ตท.6" ที่แม้ประธานรุ่นอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเกษียณอายุ แต่ "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และเพื่อนพ้องที่ขึ้นกันเต็มพรืดทุกเหล่าทัพ ก็กรีธาทัพ ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

 ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือประการใด มีเหตุให้ "ตท.12" ได้ขึ้นมาเป็นแผง ราวกับจะท้าทายประวัติศาสตร์ว่าจะซ้ำรอยอีกครั้งหรือไม่ ท่ามกลางการเมืองที่ระส่ำระสาย เพราะปัญหาภายใน ทั้งภายในพรรคแกนนำและกับพรรคร่วมรัฐบาล

 เพราะเงื่อนไขสำคัญที่ทหารนำไปอ้างเป็นเหตุผลการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญเข้ามายึดอำนาจและฉีกรัฐธรรมนูญก็คือ "รัฐบาลโกง"

 ด้วยสไตล์ที่ดุดันของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีหลายฝ่ายเกรงกันว่า จุดแตกหักอาจไม่ต้องรอให้ถึง 100 องศาเซลเซียส

 อย่างไรก็ตาม นายภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (ผอ.สขช.) ที่เคยดำรงตำแหน่งในช่วงที่มีการรัฐประหารถึง 2 ครั้งกลับมองว่า แม้บุคลิกของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นคนเอาจริงเอาจังก็ตามแต่จะให้ถึงขั้นรัฐประหารเหมือนในยุคก่อนนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้ในอนาคตจะมีเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น 1.การก่อวินาศกรรมครั้งร้ายแรง หรือ 2.มีเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่จนเกิดความวุ่นวายเหมือนเมื่อเดือนพฤษภาคม

 "ผมว่ามันมีแรงฉุดที่จะทำให้มันไปไม่ถึงจุดนั้น อย่างเดือนพฤษภาคม ทหารก็ทำได้ แต่เขาก็ไม่ทำ เพราะมันมีแรงฉุดทั้งในและนอกประเทศ แต่ผมมองว่าที่พอจะเป็นไปได้ที่สุด คือการลอบสังหารผู้นำ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นยึดอำนาจ"

 ทางเลือกที่แย่ที่สุดหากเกิดการลอบสังหาร คือการประกาศใช้ "กฎอัยการศึก" เพื่อใช้มาตรการเข้มข้นไล่ล่าฝ่ายตรงข้าม แต่คงไม่ถึงขั้นยึดอำนาจ เพราะหากทำแล้วอาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้

 สิ่งที่เขาเป็นห่วงในเบื้องต้น กลับไม่ใช่เงื่อนไขในการรัฐประหาร แต่เป็น "ความขัดแย้งในกองทัพ" มากกว่า ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ต้องเข้าไปจัดการด้วยการเคลียร์กับพี่ๆ น้องๆ ในกองทัพที่พลาดตำแหน่งเพื่อให้เข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมตามมา

 ส่วนเงื่อนไขแรงๆ อย่างคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหากไม่ยุบ อาจทำให้เกิดการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงนั้น เขามองว่า รัฐบาลและกองทัพมีบทเรียนมาแล้วจึงน่าจะควบคุมไม่ให้ไปถึงจุดนั้นได้

 ขณะเดียวกันการ "พลิกขั้ว" ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะอย่าลืมว่ายังมี "แรงกด" จากกองทัพอยู่ โดยเฉพาะกองทัพในยุคที่มีความเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ คงยากที่นักการเมืองจะขยับตัวทำอะไรได้ตามอำเภอใจ และที่สำคัญ กองทัพย่อมไม่ยอมให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว

 ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่มองกันในวันนี้ แต่ในอนาคตใครจะรู้ว่ามีเหตุปัจจัยใดที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่ง "นักการเมือง" ตัวการสำคัญที่มักจะเรียกอำนาจนอกรัฐธรรมนูญออกมาหลอนคนไทยเองก็ตาม

ทีมข่าวความมั่นคง