
"ไข่มุก" เม็ดงาม ความมั่นใจ ล้น เปี่ยม
เรียบร้อยโรงเรียน ไข่มุก ชุติมา ดุรงค์เดช เธอคือสาวผู้โชคดีที่สุดสำหรับเวที มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 แถมพ่วงอีก 2 ตำแหน่งพิเศษ สาวผิวสวย และ ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของการประกวดอีกด้วย
ซึ่งปีนี้คงไม่พลิกโผนางงามแต่ละสำนักมากนัก เพราะทุกโผของตัวเก็งล้วนมีชื่อไข่มุกติดหนึบอยู่เสมอ
แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่ “ม้ามืด” แต่ประการใด และที่แน่ๆ มีดีมากพอที่จะครอง มงกุฎเพชรเลอค่า เช่นเดียวกับรองอีก 4 นางที่มีรูปสมบัติและคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นคู่ชิงในสนามแข่งรอบสุดท้าย ทุกคนออกสตาร์ทหลังเส้นเท่าๆ กัน เมื่อกรรมการเป่านกหวีด ตรงนี้แหละขึ้นอยู่กับ “แรง” ว่าใครจะไปโลดกว่ากัน ก็เท่านั้น
พูดถึงมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์ส คนล่าสุดนาม “ไข่มุก” ถือว่า “ไม่ขี้เหร่” ในคืนประกวดรอบตัดสินเป็นวันของเธอจริงๆ เอาแค่ลักษณะทางกายภาพด้วยใบหน้าไทยๆ รูปร่างที่สูงโปร่งและได้สัดส่วน ประกอบกับลีลาท่วงท่าการพรีเซ้นต์ที่โดดเด่น อีกทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ทุกสิ่งอย่าง “ส่ง” เธอจริงๆ ที่บอกอย่างนี้เพราะต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ถึงเธอจะสูงเด่นถึง 177 ซม. แต่ก็ไม่ค่อยมีพลัง แต่วันนี้เธอเอาทุกอย่างอยู่หมัด!!!
กับคำถามท้ากึ๋นรอบ 12 คนที่ว่า คุณชอบเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละวันอย่างไร?
สิ้นคำถามเธอตอบอย่างมั่นใจว่า “การนั่งสมาธิเป็นการกำหนดจิตรู้ดีชั่ว ทำให้มีสติในการทำทุกสิ่ง และเมื่อมีสิ่งใดมากระทบทวารทั้ง 6 ก็จะทำให้มีสติรับรู้ได้ว่ารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งนั้น สติจึงมีประโยชน์มากในการดำเนินชีวิต” นั่นเป็นผลมาจากการศรัทธาในพระพุทธศาสนา และภาคภูมิใจในตัวเองที่ได้ทำอย่างนั้น และที่แน่ๆ นี่เป็นคำตอบเดียวกันทุกครั้งเมื่อถูกถามว่า ถ้าโชคดีได้ตำแหน่งอยากจะทำอะไรเพื่อสังคมเป็นอันดับแรกโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและสตรี
และพอมาถึงคำถามรอบ 5 คนสุดท้ายที่เธอผ่านฉลุยเข้ามา ความมีพลังในตัวเองสูงนี้เอง ไม่แปลกที่เธอจะมั่นใจจนเปี่ยมล้น เธอตอบคำถามชิงดำจากคำถามของผู้ร่วมสนุกจากทางบ้านที่ว่า ถ้าเปรียบตัวเองเป็นต้นไม้ จะเลือกเป็นส่วนไหน เพราะอะไร?
“เลือกเป็นราก เพราะถ้าไม่มีรากก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไข่มุกอยากเป็นผู้ให้ ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากคุณแม่ที่ให้ทุกอย่างจนมีวันนี้ บนเวทีนี้อยากบอกว่า แม่ค่ะ I wanna love you so much (รักแม่มากค่ะ)” สิ้นเสียงตอบก็แทนที่ด้วยเสียงปรบมือสนั่นห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ สถานที่จัดประกวด และก็เป็นหมัดเด็ดชกเข้าเป้าตู้มใหญ่โดนใจกรรมการ
“แบบนี้มงกุฎจะไปไหนเสีย...” กูรูนางงาม และกองเชียร์หลายคนข้างเวทีคืนวันนั้นแอบเปรย
ปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยม และการมีสติกว่าใครๆ ใช่ว่าจะได้มาลอยๆ คุณพ่อฤทธิชัย-คุณแม่เพชรา ดุรงค์เดช ส่งไข่มุกไปร่ำเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอจบ ปริญญาตรี ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารจาก มหาวิทยาลัยนอตติ้งแฮม ก่อนจะคว้า ปริญญาโท ด้านการจัดการธุรกิจ จาก มหาวิทยาลัยซิตี้ เมืองผู้ดีอังกฤษ
ไข่มุกในวัย 23 ปี เคยได้ตำแหน่งจากการประกวดเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรียนอย่าง รองมิสวิมเบิลดัน 2008 และ เน็ก ท็อปโมเดล แต่ทุกเวทีคือทางผ่านสำหรับเธอ เพราะความฝันสูงสุด หนีไม่พ้นตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สที่เธอเพิ่งคว้ามาเมื่อคืนก่อนนั่นเอง
“ฟังดูอาจจะโอเวอร์ ไข่มุกศรัทธาในพระพุทธศาสนา อยากทำดีเหมือนพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้ชีวิตคนคนหนึ่งดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตามอยากทำเพื่อสังคม เพราะคิดว่าการทำแบบนี้จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า ปกติถ้าไม่มาประกวดก็จะทำให้ชีวิตมีคุณค่าอยู่แล้ว แต่อันนี้เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศเหมือนสอบได้ที่ 1”
บางครั้งเธอคนนี้อาจถูกมองว่าเจ้าน้ำตา โอเวอร์แอ็กติ้ง แต่เจ้าตัวยืนยัน “ทุกอย่างออกมาจากใจ” เธอเต็มที่กับการชิงชัย และมุ่งมั่นสุดๆ ที่สำคัญมอบความจริงใจจากความเป็นตัวของตัวเอง
ภารกิจนางงามต่อจากนี้มากมายแน่นอน แต่เจ้าตัวบอกก็จะไม่ลืมเจียดเวลาไปนั่งวิปัสสนาสัก 5 นาทีทุกวัน เพราะรู้ดีว่าสติมาปัญญาย่อมเกิด...
ทั้งหมดอาจไม่ใช่บทสรุปของเวทีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 แต่ก็พอจะทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างที่คนเบื้องหน้าเวทีอาจไม่เคยรู้....