ข่าว

แมวที่จับหนู

แมวที่จับหนู

24 ก.ย. 2553

มีคำพูดบันลือโลกประโยคหนึ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีเติ้ง เสี่ยว ผิง ของจีนได้เคยกล่าวไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้วว่า “แมวจะสีอะไร (ขาวหรือดำ) ไม่สำคัญ ขอให้มันจับหนูได้ก็แล้วกัน” ซึ่งเป็นการเปิดประเทศจีนที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศ “หลังม่านไม้ไผ่” ไปสู่การปฏิรูปเศรษฐก

ซึ่งวันเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าคำพูดของเติ้ง เสี่ยว ผิง นั้นถูกต้อง เพราะความสำคัญของแมวไม่ได้อยู่ที่สี หากอยู่ที่ความสามารถในการจับหนู เพราะในวันนี้จีนได้ก้าวผ่านการเป็นประเทศที่ยากจนขึ้นมาครองตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดเป็นลำดับสองของโลกแทนที่ประเทศญี่ปุ่นไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว

  ปัจจุบันนี้จีนมีเงินตราต่างประเทศสำรองอยู่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ กล่าวโดยรวมเศรษฐกิจของจีนเติบโตขึ้นกว่าก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจถึง 90 เท่า และมีโอกาสที่จะแซงหน้าสหรัฐ ไปยืนอยู่ในตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้ ภายในปี 2030 หรืออีก 2 ทศวรรษหน้า ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นโลกก็แทบจะเปลี่ยนแกนเลยทีเดียว

  ในสมัยสงครามเย็นนั้น กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์จะยึดมั่นในแนวทางสังคมนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบคอมมูนหรือรัฐวิสาหกิจ ขณะที่กลุ่มประเทศเสรีนิยมจะยึดแนวทางทุนนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบการแข่งขันเสรี ซึ่งในที่สุดแล้วประเทศคอมมิวนิสต์หัวเก่าเช่นสหภาพโซเวียตก็ประสบกับการล่มสลายไปก่อน แต่ก็เป็นโชคดีของจีนซึ่งเพิ่งผลัดยุคจากเหมา เจ๋อตุงและการปฏิวัติวัฒนธรรม มาสู่ช่วงเวลาของผู้นำรุ่นใหม่อย่างเติ้ง เสี่ยว ผิง ที่ไม่ได้ยึดเกาะอยู่กับแนวทางสังคมนิยมเพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจด้วย ทำให้จีนมีชะตากรรมที่แตกต่างไปจากโซเวียต

  ความสำเร็จของจีนเป็นต้นแบบต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจของเวียดนาม ที่กำลังเดินตามรอยเท้าจีนอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องการเปิดประเทศ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน รวมไปถึงการครองตลาดสินค้าราคาถูกที่เคยทำให้สินค้าจีนแพร่หลายไปทั่วโลก ในขณะที่การบริหารปกครองประเทศอย่างเข้มงวด ด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว ก็ทำให้ทั้งจีนและเวียดนามมีสภาพที่มั่นคงในทางการเมือง และกลายเป็นจุดแข็งทางด้านการลงทุนจากต่างประเทศ

  กล่าวตามจริงแล้ว โลกเราในทุกวันนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาเคร่งครัดกับระบอบการเมืองหรือระบบเศรษฐกิจเหมือนเมื่อ 50-60 ปีก่อน หากแต่เป็นยุคสมัยของการแข่งขัน และเลือกนำจุดดีจุดเด่นของทุกระบอบระบบมาผสมผสานใช้ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงและมั่งคั่ง

  วันนี้ใครที่ยังยึดโน่นถือนี่ และไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่สิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดความเชื่อของตน ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนเชย คนพ้นสมัย ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ ดูแค่จีนกับสหรัฐ ก็คงจะเห็นว่าจีนซึ่งนำระบบทุนนิยมมาปรับใช้กับระบอบสังคมนิยมอย่างพอเหมาะพอควรสามารถก้าวไปไกลสุดกู่ภายในช่วงเวลา 30 ปี แต่สหรัฐซึ่งเป็นต้นกำเนิดของระบบทุนนิยมแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามโลก ขืนจะเป็นผู้นำโลกในแบบเดิมอยู่ท่าเดียว ผลก็เป็นอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ตอนนี้แหละครับ