ข่าว

"ไวท์เฮ้าส์"ดึงเสน่ห์เพลงเก่า
สู้ธุรกิจร้านอาหารเชียงใหม่

"ไวท์เฮ้าส์"ดึงเสน่ห์เพลงเก่า สู้ธุรกิจร้านอาหารเชียงใหม่

28 มี.ค. 2552

เมืองเชียงใหม่ มีร้านอาหารมากมาย แต่จะทำอย่างไรเพื่อสร้างความต่างให้ถูกอกถูกใจได้ จึงเป็นโจทย์สำคัญให้หนุ่มใหญ่ไฟแรงอย่าง "ณภักษ์พงศ์ สิริบุณยเวช"

 ทำการบ้านหนักอยู่หลายปี ก่อนตัดสินใจหักเหอาชีพนักการตลาดจากบริษัทสุราชื่อดัง มาสานฝันการมีธุรกิจเป็นของตนเอง โดยเลือกเอาความชอบเพลงเก่าส่วนตัวมาเป็นจุดขาย สร้างร้าน "ไวท์เฮ้าส์" ให้มีเสน่ห์ ติดตลาดได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงปี

 หากมองผิวเผิน "ณภักษ์พงศ์" อาจถูกมองเป็นมือใหม่หัดขับในวงการธุรกิจร้านอาหารและบันเทิงใน จ.เชียงใหม่ แต่ด้วยประสบการณ์ของอาชีพเดิม นับเป็นต้นทุนสมองที่ช่วยเปิดทางให้มองเห็นลู่ทางการลงทุนที่แตกต่างจากคนอื่นๆ จึงไม่แปลกที่หนุ่มใหญ่คนนี้ เลือกจะใช้เงินลงทุนหลักล้านบาท เนรมิตบ้านหลังสีขาวริมน้ำปิง เยื้องค่ายกาวิละ อ.เมือง ให้เป็นแหล่งนัดพบขอคอเพลงรุ่นเก่าได้อย่างน่าสนใจ

 ณภักษ์พงศ์บอกว่า การทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มีรายได้เข้ามือต้องขึ้นอยู่กับใจรัก และการใช้เทคนิคให้เหมาะกับธุรกิจ ดังนั้น การจะสร้างธุรกิจขึ้นมาต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงตั้งโจทย์การทำร้านอาหารเพลงเก่า เอาใจคอเพลงวัยตั้งแต่ 30-50 ปี นอกจากช่วยสร้างความต่างแล้ว บรรยากาศ อาหาร ก็ต้องประทับใจควบคู่ไปด้วย

 ประการสำคัญ นับตั้งแต่ทำธุรกิจมา หลังจากปิดร้านจะมีความคิดว่า ทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดได้ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่ผกผัน เมื่อเทียบกับธุรกิจร้านอาหารของคนอื่น ดังนั้น จึงมองว่า เสียงเพลงซึ่งมีมนต์เสน่ห์อยู่ในตัวอยู่แล้ว หากดึงออกมาใช้อย่างรู้คุณค่าย่อมเป็นใบเบิกทางในการสร้างธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า "ขออภัย ที่นี่ไม่มีเพลงใหม่ๆ ให้ฟัง"

  "ทุกวันนี้ ยอมรับว่าลูกค้าบอกปากต่อปาก ส่วนใหญ่ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกับที่ร้านนำเสนอคือ การขายบทเพลงเก่าๆ ผ่านเสียงนักร้อง และผ่านเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับยุคสมัย เมื่อมีคนต้องการและเราสนองไปได้ เลยทำให้ทุกอย่างลงตัว ที่แห่งนี้จึงเหมือนเป็นแหล่งรวมตัวของคอรักเพลงเก่าที่จะมานั่งรำลึกอดีตของเพื่อนฝูง ครอบครัว และแม้กระทั่งคู่รัก"

 เพลงเก่าที่คัดเลือกมา จะย้อนไปถึงวงดังในอดีต อย่างวงชาตรี แกรนด์เอ็กซ์ เฉลียง ฯลฯ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 เพลง ทั้งหมดมีวงดนตรีเล่นวันละ 3 ชั่วโมง สลับกับเปิดแผ่น และยังมีเนื้อร้องแบบคาราโอเกะให้ลูกค้าร้องอีกด้วย ขณะที่สไตล์การตกแต่งร้านจะเน้นขายบรรยากาศของลำน้ำปิง ชนิดที่ไม่มีอะไรมาบดบังธรรมชาติ เพราะทุกคนที่เข้ามารวมกัน ต่างต้องการเสพความสุขจากเสียงเพลง

 ณภักษ์พงศ์ยอมรับว่า ช่วงแรกๆ ที่เปิดร้านมีลูกค้าน้อยมากที่มาใช้บริการ แต่ก็ไม่ท้อแท้ พยายามสร้างร้านให้เป็นที่รู้จัก จึงจัดทำมินิคอนเสิร์ต โดยเชิญศิลปินเพลงเก่าๆ มาแสดงสดที่ร้าน เช่น อ๊อด คีรีบูน, ตู้ ดิเรก, ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง, ชมพู ฟรุตตี้ แม้แต่ละครั้งต้องลงทุนนับแสนบาท และแทบจะมองไม่เห็นตัวเงินตอบแทนกลับมา แต่นับว่าเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้ลูกค้ารู้จักร้านมากขึ้น จนทุกวันนี้มีลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามามีเกือบทุกระดับ หลากอาชีพ

 "สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ ในแง่ของการทำธุรกิจ เราไม่ได้มุ่งหวังกำไร เพื่อให้ธุรกิจก้าวขยาย แต่มองว่าควรทำอย่างไรให้ยั่งยืนมากกว่าที่จะล้มหายไป ซึ่งต่อไปเราจะมีการสรรหาเมนูชื่อแปลก เพื่อสร้างสีสันให้ร้าน โดยนำร่องไปแล้ว เช่น "ทั้งรักทั้งเกลียด" เป็นปลาชุบเกล็ดขนมปังทอด เสิร์ฟพร้อมส้มตำรสเด็ด"

 แม้จะเป็นเพียงธุรกิจร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ด้วยมุมมองของเจ้าของอย่าง "ณภักษ์พงศ์" จึงสร้างความโดดเด่นให้ร้านได้อย่างน่าสนใจ ภายใต้หลักอยู่อย่างพอเพียง แม้ว่าขณะนี้ชื่อเสียงร้านจะติดหูลูกค้า ถึงขั้นถูกทาบทามให้ขยายสาขาไปเมืองพัทยา แต่เขาคิดอยู่เพียงว่า ที่ไวท์เฮ้าส์นี้เหมาะสมแล้ว
      

"เอกพงศ์ ประดิษฐ์พงษ์"