ข่าว

วิพากษ์แก้ปัญหาหนี้นอกระบบอัฐยายซื้อขนมยาย

วิพากษ์แก้ปัญหาหนี้นอกระบบอัฐยายซื้อขนมยาย

22 ส.ค. 2553

"อภิสิทธิ์"ย้ำชัดนโยบายรัฐบาลมุ่งสู่ระบบสวัสดิการ ไม่ใช่รัฐสวัสดิการ นักเศรษฐศาสตร์วิพากษ์แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แค่อัฐยายซื้อขนมยาย

เมื่อเวลา 10.00 น.   วันที่ 22 ส.ค. ที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายบวรศักดิ์   อุวรรณโณ   เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ออกมาติงเรื่องนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เป็นนโยบายประชานิยม และรัฐบาลอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมายนั้นว่า   เรื่องประชานิยมนั้น ตนคิดว่าตอนนี้น่าจะชัดเจนว่า เราเอาทุกอย่างเข้ามาสู่ระบบที่มีความแน่นอน พัฒนาไปสู่ระบบสวัสดิการ ไม่ใช่เป็นระบบรัฐสวัสดิการ มีความรับผิดชอบ ทำให้ฐานะการเงินการคลังในขณะนี้มีความชัดเจน และได้คิดต่อถึงระยะกลางและระยะยาวมีการกำหนดเป้าหมายที่จะให้งบประมาณกลับมาสมดุล ตนคิดว่าตรงนี้เราได้ก้าวพ้นตรงนั้นไปแล้ว  ส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ต้องยอมรับว่า เป็นปัญหาใหญ่มาโดยตลอด ทำให้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้การปัญหาในช่วงของเดือนเมษา - พฤษภา ทำได้ยาก   เพราะเราต้องคำนึ่งถึงการทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธ์ด้วย

 ผู้สื่อข่าวถามว่า เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าระบุกฎหมายการฟอกเงินรัฐบาลยังไม่สามารรถบังคับใช้ได้ ทำให้ ศอฉ.ต้องคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ เพื่อใช้ตรวจสอบในเรื่องท่อน้ำเลี้ยงเงินที่ใช้สนับสนุนการชุมนุม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความซับซ้อนในเรื่องการตีความของกฎหมาย หรือกระบวนการที่ไม่ชัดเจนตามรัฐธรรมนูญเป็นจุดอ่อน ทำให้ติดขัดทางเทคนิคทางกฎหมายอยู่มาก ซึ่งรัฐบาลก็พยายามที่จะเร่งทำการแก้ไขอยู่

วิพากษ์แก้ปัญหาหนี้นอกระบบแค่อัฐยายซื้อขนมยาย

 ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ร่วมพูดคุยในรายการ ช่วยกันคิดทิศทางข่าว ทางสถานีวิทยุคลื่นเอฟเอ็ม 100.5 อสมท.ถึงกรณีนโยบายการแก้ไขหนี้นอกระบบของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

 ดร.สมภพกล่าวว่า หลักการแก้หนี้นอกระบบให้มาเป็นหนี้ในระบบ ขึ้นอยู่กับว่าหนี้นอกระบบคืออะไร หนี้ในระบบคืออะไร และไปแก้อย่างไร  ต้องยอมรับว่าหนี้นอกระบบมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น สาเหตุหนึ่งคือการที่คนด้อยโอกาสจำนวนมาก ไม่ค่อยมีโอกาสเข้าถึงหนี้ในระบบ เช่นสถานบันการเงิน การระดมเงินจากตลาดเงินตลาดทุน ฉะนั้นเมื่อไม่มีโอกาสกู้เงินในระบบก็ต้องไปเป็นหนี้นอกระบบไปเสียดอกเบี้ย แพง  และต้องดูต่อไปด้วยว่าผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้กู้หนี้นอกระบบนำเงินไปทำอะไร บางรายทำมาหากินจุนเจือครอบครัว บางรายตกกระไดพลอยโจนเห็นคนอื่นมีบ้างก็อยากได้บ้าง เป็นการเน้นเรื่องของการบริโภค เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต้องมองต่อไปว่าเมื่อแก้ได้แล้วมันแก้ ปัญหาได้จริงหรือไม่ ถ้าไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ไปถึงต้นสายปลายเหตุของหนี้นอกระบบจะแก้กันไม่ ถูก ถ้าเป็นเงินกู้ที่นำไปสู่แบบอย่างการเลียนแบบบริโภค การทำอะไรเกินตัวของคนบางกลุ่มมักจะเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หากตัวแปรเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วเราไปแก้ให้เป็นหนี้ในระบบได้แล้ว

 "คำถามต่อมาคือว่าในที่สุดแล้วหนี้นอกระบบแก้ได้หรือไม่ ข้อสำคัญคือ แก้ไข หนี้นอกระบบได้แน่นอนเจ้าหนี้ที่อยู่นอกระบบคงได้รับประโยชน์ ทำให้เกิดหนี้ในระบบที่มีการค้ำประกันของรัฐบาล ช่วยเหลือเจือจางใคนที่เป็นหนี้นานๆไม่สามารถใช้หนี้ได้ ทำให้หนี้นอกระบบที่ต้องใช้วิธีการทั้งปลอบทั้งขู่ในการติดตามหนี้ มีรูปแบบและวิธิการสารพัด บางทีใช้ระบบมาเฟียด้วย จุดนี้คงต้องดูว่าใครกันแน่ที่ได้รับประโยชน์ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุของการเกิดหนี้ ว่า ประชาชนเกิดหนี้เพราะอะไร หากรู้สาเหตุต้องเข้าไปแก้ไขในส่วนนั้น แต่ถ้าเราไปแก้หนี้แล้วทำให้ประชาชนหรือผู้ก่อหนี้เกิดความรู้สึกย่ามใจว่า ก่อหนี้นอกระบบได้ต่อไปก็มีคนมาปลดหนี้ให้" ดร.สมภพ กล่าว

 เมื่อถามว่าถ้ารัฐบาลไม่ศึกษาต้นตอของปัญหาให้ชัดเจนเท่ากับว่าที่หนี้หายแล้วก็จะไปก่อหนี้อีก ดร.สมภพ กล่าวว่า ใช่ เราจะอยู่ในวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

 เมื่อถามว่าปลดหนี้นอกระบบหมดแล้วภาระเป็นของใคร ดร.สมภพ กล่าวว่า แน่นอนมัน คือ ภาระของประชาชนเพราะเงินที่มาปลดหนี้เหล่านั้นมาจากภาษีประชาชน ดูให้สุด คือ อัฐยายซื้อขนมยาย บางเรื่องอย่างการตั้งกองทุนพัฒนาเกษตรกรขึ้นมาถือว่าเป็นเรื่องดีแทนที่จะ ไปค้ำรายได้เกษตรกรเพียงอย่างเดียว แล้วนำไปสู่การบิดเบือนกลไกตลาดบางทีจะทำให้เราถลำลึกจนกู่ไม่กลับ ทำให้ผลผลิตราคาเกษตรเราสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 20-30 % ซื้อเก็บเข้ามาในสต๊อกแล้วก็ระบายไม่ออก จะทำให้รัฐบาลต้องรับภาระงบประมาณที่สูง

 ดร.สมภพ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันงบประมาณที่ใช้มี 2 ส่วนที่โผล่ขึ้นมา คือ งบประจำ กับอีกส่วนที่เรียกว่าตั้งงบหรืองบประกันรายได้เกษตรกร ทำให้ภาระงบประมาณขยายตัวขึ้นมาก ปีนี้งบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 20 % ทะลุ 2.2 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก ตั้งแต่มีการทำงบประมาณมา  งบประมาณเป็นเครื่องมือของนโยบายการเงินการคลัง  ซึ่งทั้ง 2 นโยบายนี้เป็นนโยบายที่สำคัญมากในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงต้องทำให้ 2 โนโยบายนี้มีความยืดหยุ่นรุกเร็วถอยเร็ว เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมือง

 "ฉะนั้นเราอย่านำ 2 นโยบายนี้ที่รวมกันแล้วเรียกว่านโยบายเศรษฐกิจมหภาค เข้าไปสนองต่อประชานิยมจนถอนตัวไม่ขึ้น เพราะว่าเป้าหมายเศรษฐกิจมหภาคมีเป้าหมายเยอะมาก ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสมรรถนะการนำของประเทศ ขีดความสามารถของประเทศ มีเป้าหมายที่หลากหลายและเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ใกล้มือรัฐบาลที่สุดที่จะหยิบยกขึ้นมาในการบริหาร  ดังนั้นนโยบาย เหล่านี้ต้องไม่นำไปสู่การทำให้เราไปติดกับกับบางเรื่อง ในบางเรื่องที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ทำไปทำมากลายเป็นเรื่องวัฒนธรรมเพราะประชาชนเกิดความเคยชิน ต้องระวังให้มากเพราะบางครั้งกลายเป็นเรื่องการเมืองด้วย " ดร.สมภพ กล่าว

 อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า  เราอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์มีการแกว่งไกวสูง ค่าเงินบาท ความไม่ไว้วางใจสหรัฐอเมริการในการนำเศรษฐกิจโลก สหภาพยุโรปที่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรหลังจากโปรยเงินลงมาแล้วก็ไปได้แค่นี้ เศรษฐกิจของไทยก็ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก ทั้งในแง่การค้าส่งออกอย่างเดียวก็ต้อง 10 % ของจีดีพี ยังต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ พึ่งพาการท่องเที่ยว จึงต้องเตรียมเศรษฐกิจระดับมหภาคอย่าให้ติดกับดัก

 เมื่อถามว่าการโอนหนี้มากกว่า 4 แสนรายเข้าไปใน 6 ธนาคาร จะทำให้ธนาคารของรัฐมีความเสี่ยงเกิดขึ้นหรือไม่ ดร.สมภพกล่าวว่า "ผมคิดว่าคงได้รับการค้ำประกันจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องถ้าเกิดว่ามีปัญหาขึ้นมาสามารถไปเก็บหนี้จากภาครัฐได้ เหมือนกับที่เคยทำตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ ทำไมธนาคารรัฐถึงนิยมปล่อยกองทุนหมู่บ้าน กองทุนพักหนี้เกษตรกรสารพัดรูปแบบเพราะว่าเขาได้รับเงินค้ำประกัน 100 % ปรากฎว่าธนาคารของรัฐเหล่านั้นผลประกอบการดีขึ้น แทบจะกระโดดตะครุบ มีโบนัสมาแบ่งพนักงานกันถ้วนหน้า เพราะภาระมาตกอยู่ที่ รัฐบาลหมด แต่ถามว่าภาระจริงๆตกที่ใครก็คือประชาชนผู้เสียภาษี"

  เมื่อถามว่าคนในรัฐบาลเห็นตัวเลขของจีดีพีตัวเลขส่งออกที่เติบโตขึ้นมาสวยๆทำให้สบายใจได้หรือไม่ ดร.สมภพ กล่าวว่า เศรษฐกิจขณะนี้ฟื้นตัวตามวัฎจักร ยกตัวอย่างตัวเลขส่งออก 7 เดือนแรกปีนี้ขยายตัว 10 % นำเข้า 20-30 % หากเราไปตรวจดูช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะส่งออกติดลบไป 30-40 % นำเข้าติดลบหนักกว่าอีก แต่ปีนี้นำเข้าฟื้นตัวขึ้นมาส่งออกติดลบต่อเนื่องรวมจีดีพีของครึ่งปีที่ แล้วติดลบไป 6 % ฉะนั้นครึ่งปีแรกของปีนี้ขยายตัว 10 % เป็นตัวเลข 2 หลัก แต่ดูให้ลึกๆว่าเราได้มาเท่าไร แต่ตัวเลขสุทธิได้มาแค่ 4 % ซึ่งปกติแล้วเศรษฐกิจของไทยจะโตไม่ต่ำกว่า 5-6 % ถ้ารัฐบาลชุดไหนทำไม่ได้คิดว่าน่าจะมีปัญหาแล้ว