ข่าว

 แม่จ๋า

แม่จ๋า

12 ส.ค. 2553

ผมเป็นเด็กบ้านนอกที่ถูกพ่อแม่ส่งตัวมาเรียนหนังสือ ในแบบอยู่โรงเรียนประจำที่สมัยนั้นเรียกกันว่าโรงเรียนกินนอนตั้งแต่อายุได้เพียงแค่ 5 ขวบ เป็น 5 ขวบที่แทบจะล้างก้นเองไม่ได้ยามขับถ่าย เป็น 5 ขวบที่ยามร้องไห้ต้องการคนมาคอยปลอบ

แต่ผมเป็นเด็ก 5 ขวบที่ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ร้องไห้เมื่อใดก็ถูกล้อว่าเป็นไอ้ขี้แย ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจแสนสาหัสเพียงใดก็ตาม ผมทำได้เพียงแค่แอบไปร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น หรือได้ยินเสียงสะอื้นในห้องส้วมของโรงเรียนเท่านั้น

 เด็กนักเรียนประจำที่ต้องนอนกินรวมกันในหอ เป็นเวลาครั้งละสองเดือนครึ่ง เมื่อถึงเวลาปิดเทอมก็มีเวลารวมเวลาเดินทางไปและกลับ จากบ้านที่ต่างจังหวัดเพียงแค่ครั้งละ 15 วัน ปีละเพียงแค่สองครั้งยกเว้นปิดเทอมใหญ่ที่จะมีเวลาถึงสองเดือนเศษ ในการอยู่วิ่งเล่นโดยไม่มีเสียงกระดิ่งระฆังคอยบังคับที่บ้านนอก

 เด็กหอหรือนักเรียนประจำแบบผมส่วนใหญ่ มักจะนิยมร้องเพลงด้วยเสียงที่เศร้าสร้อยอยู่สองเพลง เพลงแรกมีเนื้อร้องบางตอนที่บอกว่า “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง” กับอีกเพลงหนึ่งที่แม้จะมีท่วงทำนองคึกคักขึ้นมาบ้าง แต่ทุกครั้งที่เด็กหอจับกลุ่มร้องกัน จะต้องมีเด็กเล็กๆ ที่จิตใจอ่อนไหวน้ำตาคลอขึ้นมาทุกครั้ง นั่นคือเพลงที่มีเนื้อร้องบางท่อนว่า “ใครหนอ ใครกันให้เราขี่คอ...คุณพ่อ คุณแม่”

 แต่ผมเองกลับไม่เคยซาบซึ้งกับเสียงเพลงทั้งสองเพลงดังกล่าวแม้แต่น้อย เพราะผมคิดอยู่เสมอว่าแม่ไม่รักผม จึงได้ส่งผมมาให้ต่อสู้กับชีวิตท่ามกลางคนแปลกหน้า และส่วนใหญ่ตัวโตกว่าพร้อมที่จะรังแกผมทุกนาที ยิ่งทุกครั้งที่ผมมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนจนปากแตกเลือดกำเดาไหล ผมก็ยิ่งรู้สึกโกรธแม่มากขึ้นที่เป็นตัวการส่งผมมาให้เจ็บตัว ไม่เว้นแม้แต่เมื่อผมถูกลงโทษจากครูเมื่อทำผิด ผมก็ไม่ได้โทษตัวเองแม้แต่น้อย ผมกลับยังโยนโทษอันนั้นกลับไปให้แม่อยู่ดี

 เมื่อผมอายุย่างเข้าวัยรุ่นและต้องไปเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ แม่ผมได้รับอุบัติเหตุหนักหนาสาหัสต้องนอนที่โรงพยาบาลนานถึงครึ่งปี ผมก็ไม่เคยคิดจะกลับมาเยี่ยมดูหน้าแม่แม้เพียงสักครั้งหนึ่ง จนแม่ออกจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่บ้านแล้ว ผมก็ไม่เคยมาดูแม่เลยเป็นเวลาถึงสามปีเต็มๆ เพราะผมคิดว่าเมื่อแม่ไม่รักผมแล้ว ผมกลับมาก็ไม่มีประโยชน์เพราะแม่มีลูกคนอื่นที่แม่รักคอยอยู่ข้างตัวอยู่แล้ว

 เมื่อผมมีครอบครัวและมีลูก ผมจึงมีโอกาสกลับไปหาแม่ที่บ้านนอกบ่อยครั้งขึ้น แต่ก็ยังเป็นช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆ เท่านั้น ในขณะที่ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศผมก็จะเขียนโปสการ์ดส่งไปหาแม่ตลอดเวลาไม่เคยขาด รวมทั้งเมื่อมาถึงยุคโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามาให้บริการ ผมก็ใช้มันเป็นตัวส่งเสียงไปทักทายแม่ทุกวันไม่ว่าผมจะอยู่ที่ส่วนไหนของโลกนี้ ขอเพียงให้มาสัญญาณโทรศัพท์ผมจะต้องโทรทุกวัน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าแม่จะรู้สึกรักใคร่อะไรมากมาย คิดแต่เพียงว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกตามปรกติ

 เมื่อถึงวันที่แม่ผมตายจากไป ระหว่างที่ลูกๆ ทุกคนกำลังจัดวางร่างแม่ลงไปในโลงด้วยอารมณ์เศร้าโศก เมื่อถึงเวลาที่จะต้องปิดฝาโลง น้องสาวคนเล็กของผมที่กำลังร้องไห้ปานจะขาดใจตายก็ตะโกนขึ้นมาว่าอย่าเพิ่งปิด แล้วก็วิ่งไปเอากระดาษมาปึกหนึ่งวางไว้ข้างศีรษะของแม่ พร้อมกับแว่นตาที่แม่เคยใช้อ่านหนังสือตอนมีชีวิต

 พร้อมกับหันมาบอกว่า “แม่สั่งเอาไว้ว่า ถ้าแม่ตายให้เอาโปสการ์ดที่เฮียเขียนส่งมาใส่โลงไปพร้อมกับแว่นตาด้วย แม่จะเอาไปอ่านยามเหงา” วินาทีนั้นคงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมร้องไห้อย่างเต็มที่จากส่วนลึกในใจ วันนี้แม่ผมตายไปนานแล้ว แต่ถ้าบอกกับแม่ได้ ผมจะบอกว่า “แม่ครับถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะไม่โกรธไม่เกลียดแม่ ผมจะรักแม่และทำทุกอย่างตามที่แม่สอนครับ”

พัฒนเดช  อาสาสรรพกิจ