
"แรงเสียดทาน"บนเก้าอี้...ผบ.ตร.
เส้นทางการขึ้นครองตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ
หลังจากคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานลงมติเห็นชอบให้นายตำรวจท่านนี้ขึ้นรั้งตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 7 ตามที่นายกฯ เสนอด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ 8 ต่อ 0
ทว่าเส้นทางจากนี้ไปของ พล.ต.อ.วิเชียรจนถึงวาระเกษียณอายุราชการในปี 2556 จะไม่สวยสดงดงามโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน เพราะบนเก้าอี้อาถรรพณ์ตัวนี้ไม่เคยมีอดีต ผบ.ตร.คนใดได้เกษียณอายุราชการตามวาระ นับตั้งแต่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากกรมตำรวจมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
ยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้จนเกษียณคือ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ อันเนื่องจากนายตำรวจท่านนี้ดำรงตำแหน่งในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 ปีเท่านั้น
หากไล่เรียงจาก ผบ.ตร.คนแรก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ในปี 2543 ท่ามกลางกระแสข่าวกำลังถูกปลดจาก ผบ.ตร. จึงชิงลงมือลาออกเพื่อไม่ให้เสียเกียรติประวัติ
ผบ.ตร.คนที่ 2 พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ อยู่จนครบเกษียณ ตามวาระ
ผบ.ตร.คนที่ 3 พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ถูกเด้งกลางอากาศขณะเดินทางกลับจากประเทศออสเตรเลีย จากข้อกล่าวหาไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคดีสำคัญการอุ้มตัวทนายสมชาย นีละไพจิตร ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ลงดาบทันที
ผบ.ตร.คนที่ 4 พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ หนึ่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แม้จะมีเพื่อนร่วมรุ่นชื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.แต่เก้าอี้กลับไม่มั่นคงเท่าที่ควรเพราะถูก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นสั่งมาช่วยราชการจนกระทั่งเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนปี 2547
ผบ.ตร.คนที่ 5 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ถูกนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้ารัฐบาลสั่งมาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อกล่าวหาการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้าง
ผบ.ตร.คนที่ 6 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ถูกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ย้ายไปช่วยราชการสำนักนายกฯ จากนั้นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ที่นั่งรักษาการนายกฯ มีคำสั่งให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
กระทั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่า พล.ต.อ.พัชรวาทผิดทางอาญารวมทั้งวินัยร้ายแรงกรณีสั่งสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เก้าอี้ผบ.ตร.จึงว่างลงอีกครั้ง โดยมี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ นั่งรักษาราชการแทนจนเกือบครบเกษียณอายุราชการ
หากดูเส้นทางของอดีต ผบ.ตร.ที่ผ่านมาจะพบว่า มีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน คือ ถูกการเมืองเล่นงานและเกิดจากสนิมเนื้อใน
หากเปรียบเทียบ พล.ต.อ.วิเชียรกับอดีต ผบ.ตร.ที่ผ่านมาชัดเจนว่า ความแข็งแกร่งคมเขี้ยวคมงานั้นเทียบกันไม่ได้ ว่าที่ ผบ.ตร.ท่านนี้เป็นนายตำรวจที่มีความตั้งใจ พูดจาตรงๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เติบโตจากหน่วยงานเรียบง่าย ความเก๋าเกมเป็นรองอดีต ผบ.ตร.ทุกคน จึงถูกมองว่าการเอาตัวรอดจากองค์กรที่เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด นั้นไม่ง่าย ยิ่งมีแรงผลักดันจากการเมืองมากเท่าไร ยิ่งส่งผลร้ายต่อการบริหารงานในฐานะผู้นำ
ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมืองไม่อยู่ในสภาพปกติ มีทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงชุมนุมอย่างต่อเนื่อง คดีความต่างๆ ล้วนสร้างปัญหาให้ผู้นำและนายตำรวจระดับปฏิบัติทั้งสิ้น
เนื่องจากถูกมองว่าสองมาตรฐาน ชัดเจนที่สุดคือคดียึดสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ขณะที่สำนวนฟ้องของฝ่ายเสื้อแดงถูกเร่งรัดอย่างผิดปกติ
นับเป็นเรื่องท้าทาย พล.ต.อ.วิเชียร ว่าจะยืนอยู่บนมาตรฐานทางกฎหมายอย่างไร
ในเมื่อ พล.ต.อ.วิเชียรได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ว่ากันว่ามีวันนี้ได้ก็เพราะฐานการเคลื่อนไหวของคนเสื้อเหลือง หากว่าที่ ผบ.ตร.ไม่กล้าตัดสินใจหรือเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง อาจทำให้เก้าอี้หักก่อนเวลาอันควร
ที่แน่ๆ วิสัยทัศน์ของ พล.ต.อ.วิเชียรจะกินใจนายตำรวจกว่า 2 แสนนายได้หรือไม่
โดยเฉพาะปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง ที่กัดกินองค์กรเรื้อรังมายาวนาน นับวันจะหนักหน่วงยิ่งขึ้น อย่าลืมว่าช่วงที่ผ่านมานั้นมีการเซ็งลี้เก้าอี้กันอย่างกว้างขวาง โดยมีคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจทางการเมืองควบคุมประคองโผอยู่เบื้องหลัง จนป่านนี้ยังหาคนรับผิดไม่ได้
พล.ต.อ.วิเชียรจะต้านทานการซื้อขายตำแหน่งได้ขนาดไหน โดยวิธีใด เพราะ ผบ.ตร.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดในฐานะผู้ลงนามและกำกับดูแล
เรื่องนี้จะชี้ถึงคุณธรรม วิธีคิด และพันธกิจที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
โดยธรรมชาติของ สตช.ก็ไม่ได้มีมิตรแท้หรือพวกพ้องน้องพี่สักเท่าไร เพราะตั้งแต่ปี 2549 ที่ พล.ต.อ.วิเชียรกลับเข้ามาในเส้นทางหลักนั้น ล้วนอยู่ในสายตาของกลุ่มนายตำรวจระดับบริหาร คู่แข่งที่มีโอกาสเป็นผู้นำเกือบทั้งสิ้นและมีช่วงเกษียณใกล้เคียงกัน
การนั่งบริหาร สตช.ท่ามกลางคมหอกคมดาบย่อมมีโอกาสพลาดพลั้ง และถูกเล่นงานจากฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา เป็นปัจจัยที่ ผบ.ตร.ต้องพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนแข็งของ พล.ต.อ.วิเชียรก็มีไม่น้อยเช่นกัน จากความต้องการของนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสท่ามกลางการควบคุมของฝ่ายการเมือง อย่างไรเสีย นายอภิสิทธิ์คงต้องประคับประคองไม่ให้ พล.ต.อ.วิเชียรถูกเล่นงานหล่นจากเก้าอี้ในเวลาอันสั้น ซึ่งอาจส่งผลให้ภาพลักษณ์ของนายกฯ ติดลบไปด้วยจากการเลือกบุคคลผิดพลาด
รวมถึงเหตุผลอันสืบเนื่องจากภารกิจสำคัญทางการเมือง คือ การเลือกตั้งที่คาดกันว่าจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
การจัดแม่ทัพสีกากีและผู้คุมกำลังในพื้นที่จะเป็นหมากตัวสุดท้ายของรัฐบาลก่อนศึกใหญ่ระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยฝ่ายค้านระเบิดขึ้น
หากถึงเวลานั้นผู้จัดการรัฐบาลไม่ใช่ ปชป.แล้วละก็ เส้นทางของ ผบ.ตร.คนที่ 7 ก็อาจพบชะตากรรมเหมือนๆ กับผู้นำที่ผ่านมา !!