ข่าว

ชัยชนะของสุวิทย์และสิ่งที่ต้องทำนับจากนี้

ชัยชนะของสุวิทย์และสิ่งที่ต้องทำนับจากนี้

06 ส.ค. 2553

ชัยชนะที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ได้อ้างว่า สามารถคัดค้านกัมพูชายื่นแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาต่อคณะกรรมการมรดกโลกออกไป โดยจะมีการพิจารณาอีกครั้งในการประชุ

เมื่อการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งล่าสุด ปรากฏชัดว่า นายสุวิทย์ได้ไปลงนามรับทราบเอกสารมติการประนีประนอมเสนอโดยประธานที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34 (34 com 7B.66) ของคณะกรรมการมรดกโลก ได้แก่ 1.ได้รับเอกสาร WHC-10/34.COM/ 7B.Add3 แล้ว

 2.การอ้างถึงมติคณะกรรมการมรดกโลก 31 COM8.24, 32COM8B.12 และ 33 COM7B.65 ได้รับรองการประชุมครั้งที่ 31 ที่ไครสต์เชิร์ช, การประชุมครั้งที่ 32 ที่ควิเบก และการประชุมครั้งที่ 33 ที่เซบีญา ตามลำดับ

 3.แจ้งให้ทราบว่า ศูนย์มรดกโลกได้รับเอกสารจากรัฐภาคี นั่นคือกัมพูชา แล้ว

 4.สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปเพิ่มเติม ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ โดยรัฐภาคีเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานนานาชาติ เพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนของปราสาทพระวิหาร หรือไอซีซี

 5.ตัดสินใจพิจารณาเอกสารที่ยื่นเสนอโดยรัฐภาคีในการประชุมครั้งที่ 35 ปี 2554

 สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายไทยทั้งหมด เพียงว่าคณะกรรมการมรดกโลกรับเอกสารแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาแล้ว แต่จะพิจารณาในรายละเอียดของแผนบริหารจัดการในการประชุมครั้งหน้า

 ในความเป็นจริง คณะกรรมการมรดกโลกได้ขยายเวลาออกไปก็เพื่อให้ไทยกับกัมพูชา และฝ่ายต่างๆ ได้แสดงความเห็นต่อเอกสารแผนบริหารจัดการดังกล่าว รวมทั้งเปิดโอกาสให้ไทยกับกัมพูชาได้เจรจาเพื่อหาทางออกในพื้นที่ทับซ้อน ที่ยังตกลงกันไม่ได้

 อีกประเด็นหนึ่งที่ติดขัด นอกเหนือจากปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องการเรียกชื่อปราสาท ซึ่งมีการพูดคุยกันในระดับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ถึงแผนบริหารจัดการดังกล่าว โดย 2 ประเทศ มีความเห็นตรงเกือบทุกประเด็น

 เหลือเรื่องเดียว คือ คำใช้เรียกตัวปราสาท โดยทางฝ่ายกัมพูชาเรียกว่า เพียะวิเหียร์ แต่ไทยต้องการปฏิบัติตามหลักสากล

 ตราบใดที่ยังเป็นพื้นที่พิพาทของสองประเทศต้องใช้สองชื่อ โดยฝ่ายไทยได้เสนอทางออกให้เรียกว่า เพียะวิเหียร์ / พระวิหาร หรือใช้คำกลาง ว่า temple แปลว่า ปราสาท เท่านั้น หากเรื่องนี้ กัมพูชายอมรับ กระทรวงการต่างประเทศจะเสนอเข้า ครม. เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

 ขณะเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ นั่นคือ แม้ฝ่ายไทยจะสามารถยืดเวลาออกไปได้อีก 1 ปี ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร

 ดังนั้นฝ่ายไทยจึงต้องกลับมาทบทวนถึงชัยชนะตามที่ได้อวดอ้างครั้งนี้ว่า ในอีก 1 ปีข้างหน้า ฝ่ายไทยจะมีแผนที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้อย่างไร

 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นไปได้ในการพิจารณานำโบราณสถานที่เป็นองค์ประกอบร่วมปราสาทพระวิหาร มาเป็นขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน หรือการจะเดินหน้าคัดค้านต่อไป ตราบใดที่ยังไม่สามารถปักปันเขตแดนในพื้นที่ที่มีปัญหาให้แล้วเสร็จ แต่ต้องเป็นแนวทางในเชิงรุกมากกว่าตั้งรับอย่างเช่นที่ผ่านมา

 เพราะชัดเจนว่า หากไทยเรายังมะงุมมะงาหราสู้เฉพาะเรื่องของเขตเดน ยิ่งสู้ก็อาจจะยิ่งยุ่ง จนไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยการปะทะกัน หรืออาจต้องมีการรื้อแผนที่ตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสกันอีกครั้ง

 ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งเสนอว่า แทนที่จะสู้ในเรื่องนั้น เหตุใดถึงไม่สู้ในเรื่องเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เขมรยกเอาประวัติศาสตร์ผิดๆ ส่งให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา

 เพราะประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่จะประกาศเป็นมรดกโลกนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และบ่งบอกถึงคุณค่าของสถานที่แห่งนั้น

 โดยเฉพาะบันไดทางขึ้นที่อยู่ฝั่งไทย และ "สระตาว" ที่เขมรไม่ได้ระบุว่าเป็นส่วนที่เรียกว่าปราสาท

 แต่ข้อเท็จจริงก็คือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดว่า นั่นคือส่วนประกอบที่จะทำให้ความเป็นปราสาทสมบูรณ์

 อาจเป็นไปได้ที่เขมรเลือกที่จะไม่พูดถึงตรงนั้น ตัดเอาเฉพาะส่วนที่บอกว่าเป็นของเขมร แต่ละเลยส่วนสำคัญที่คิดว่าอยู่ฝั่งไทย

 ตรงนี้นี่เองที่จะทำให้คณะกรรมการมรดกโลกมีการพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ และน่าจะเป็นทางออกที่ดีแก่ทั้งสองประเทศ

นันทิดา พวงทอง