ข่าว

นพดลแนะมาร์คยกพระวิหารวาระแห่งชาติ

นพดลแนะมาร์คยกพระวิหารวาระแห่งชาติ

02 ส.ค. 2553

"นพดล" แถลงโต้ ถูก "มาร์ค" ใส่ร้ายกล่าวหาเซ็นแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ทำปท.เสียเปรียบ แนะต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ "ชวนนท์"โต้"สุรเกียรติ์ไอย่าวิจารณ์เพียงหวังผลทางการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 2 ส.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทยพร้อมนำเอกสารลำดับความเป็นมากรณีปราสาทพระวิหาร เป็นกระดาษเอ 4 จำนวน 23 แผ่น ประกอบการแถลงมาแจกจ่ายให้ผู้สื่อข่าว

 นายนพดลแถลงว่า ความจริงอยากอยู่เงียบๆ แต่ถูกใส่ร้ายจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในเรื่องประสาทเขาพระวิหาร โดยขอชี้แจงความจริงโดยไม่มีความเชื่อ ไม่มีจินตนาการ ไม่มีการใส่ร้ายโดยไม่มีเอกสารทั้งสิ้น เสียใจที่นายกฯใส่ร้ายว่าแถลงการณ์ร่วมที่ไทยทำกับกัมพูชาเมื่อเดือนมิ.ย. 2551 ทำให้ไทยเสียเปรียบ ซึ่งเป็นความเท็จ นายกฯยังคงนิสัยถาวรพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ตนอาจไม่หล่อ แต่ไม่หลักลอย พูดอย่างไรก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเหมือนนายกฯ ประเด็นแรกการเลื่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนวาระการพิจารณาเรื่องที่กัมพูชาเสนอแผนพัฒนาพื้นที่บริเวณประสาทพระวิหารที่ขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกออกไปเป็นปี 2554 การเลื่อนออกไปรัฐบาลและนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมฯ ตัวแทนไทยที่ไปประชุมทำได้ดีแล้ว ถ้าสมมติจะผนวกดินแดนพื้นที่ทับซ้อนออกไปก็ต้องคัดค้าน และขอเลื่อน แต่ไม่อยากให้มีการฉลองชัยชนะกันจนเกินเหตุว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาล

 นายนพดล กล่าวว่า ประเทศไทย 1 ปีจากนี้ไปจะเป็นปีที่ไม่เงียบเหงาเพราะเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ความจริงจะไหลออกมาให้ประชาชนได้ทราบว่า ใครพูดความเท็จ ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้รัฐบาลจะแก้ไขได้ง่ายๆ และอยากให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจนถึงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกปี 2554 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้เสร็จ จะได้รู้ว่านายอภิสิทธิ์มีความสามารถในการแก้ไขหรือไม่ ไม่อยากให้รัฐบาลอื่นเข้ามาแก้ เรื่องนี้นายกฯเปลี่ยนจุดยืนบ่อย สมัยเป็นฝ่ายค้านปี 2551 ได้ขอขึ้นทะเบียนร่วม แต่เมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมานายกฯบอกว่าขึ้นทะเบียนร่วมไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าพื้นที่ทับซ้อนส่วนไหนเป็นของใคร มาเมื่อ 3 วันที่ผ่านมาอยากจะขอขึ้นทะเบียนร่วม อยากถามว่าจะขอร่วมอะไร จะขึ้นแค่ตัวประสาทพระวิหารที่เราเสียไปแล้วเมื่อปี 2505 หรือจะขอขึ้นทะเบียนร่วมในพื้นที่ทับซ้อน เปรียบเสมือนว่าตนมีแฟนแล้วเพื่อนมาขอนอนกับแฟนจะยอมหรือไม่ มันเป็นไปไม่ได้ ทางกัมพูชาก็คงคิดเช่นเดียวกัน

 นายนพดล กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ และนายอภิสิทธิ์ โจมตีเรื่องตนลงนามในแถลงการณ์ร่วม เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้ต้องถามว่าทำอะไรไปบ้าง เรื่องการแก้ปัญหาประสาทพระวิหารไม่มีความคืบหน้าใดๆ ปากบอกจะขอขึ้นทะเบียนร่วม แต่นายอภิสิทธิ์เคยไปเจรจากับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี กัมพูชาหรือไม่ หรือสั่งให้คณะกรรมการมรดกโลกของไทยเตรียมเอกสารที่จะยื่นขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกับกัมพูชาหรือไม่ คำตอบก็ชัดเจนว่าไม่เคยสั่งการหน่วยงานใดๆของรัฐให้ไปดำเนินการ เพราะนายกฯไม่รู้จะไปร่วมกับกัมพูชาในประเด็นอะไร

 นายนพดล กล่าวว่า รัฐบาลนี้ยังไม่แจงไปทางยูเนสโกว่าจะขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกัมพูชา หากมีเจตนาทำจริงต้องเริ่มตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะการยื่นเอกสารต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี ถ้าจะยื่นทันทีคงทำไม่ทัน จึงขอร้องนายอภิสิทธิ์อย่าใช้ประเด็นนี้ตีกินเพื่อหวังผลทางการเมือง ส่วนกรณีที่นายกฯกล่าวหาไปว่าตนลงนามในแถลงการณ์ร่วมทำให้เสียเปรียบกัมพูชานั้น ขอถามว่านายกฯพูดว่ายึดแผนที่ตามแนวสันปันน้ำทั้งหมด เมื่อหลังศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา ประเทศไทยก็ได้ยึดแผนที่แอล 7017 และในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ได้ออกพระราชกฤษฎีกาประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีแนบท้ายพื้นที่ใต้ปราสาทพระวิหารรวมให้กับทางกัมพูชาไปแล้วเมื่อปี 2541 เท่ากับว่าเรายกพื้นที่ใต้ปราสาทให้กัมพูชา แต่ยังมีหน้ามาบอกว่าพื้นที่เป็นของไทย ซึ่งมั่นไม่ใช่

 “เจตนาของผมที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ในช่วงระยะที่รับช่วงมาจากรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และมีเวลาแค่ 5 เดือนในการพิจารณา ก่อนที่คณะกรรมการมรดกโลกจะประชุมและมีมติให้เฉพาะตัวประสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเท่านั้น โดยไม่รวมพื้นที่ทับซ้อน เป็นการปกป้องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ไม่ให้กัมพูชารวมไปขึ้นทะเบียนพร้อมปราสาทพระวิหารด้วยในปี 2551 ส่วนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 ไม่ได้มีการนำแถลงการณ์ไปพิจารณาขึ้นทะเบียนด้วย เนื่องจากศาลปกครองของไทยมีคำสั่งคุ้มครองไม่ให้ใช้ประโยชน์จากแถลงการณ์ร่วม เห็นได้ชัดว่านายกฯไม่ได้พูดความจริง และที่ไปแสดงความคิดเห็นในเฟสบุ๊ค เป็นการพูดที่ชุ่ยๆ ไม่รับผิดชอบ ตราบใดที่ยังมากล่าว หากันแบบนี้ แกว่งเท้าหาเสี้ยน แต่ไม่เจอเสี้ยนแต่จะเจอปังตอกลับไป ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายกฯชี้แจงท่าทีของตัวเองให้ชัดเจนที่ระบุจะยึดแนวสันปันน้ำทั้งหมด หรือยึดตามแผนที่แอล 7017 ที่รวมตัวประสาทและพื้นที่ใต้ประสาทว่าจะยึดอะไรกันแน่

 “ถ้าถามนายกฯแล้วตอบว่ายึดแนวสันปันน้ำทั้งหมด ผมก็จะถามต่อว่าทำไมเมื่อปี 2541 ไปทำแผนที่ตัดปราสาทพระวิหารออกไป ถ้านายกฯตอบว่าที่พูดหมายถึงสันปันน้ำแล้วทำไมไปทำแผนที่ตามพระราชกฤษฎีกา ยกพื้นที่ใต้ปราสาทให้เขาไปด้วย แล้วมาบอกว่าพื้นที่ใต้ปราสาทยังเป็นของไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ไปคิดค่าเช่าจากทางกัมพูชาหรือไม่ หรือสั่งให้กระทรวงต่างประเทศเปลี่ยนท่าทีกับทางกัมพูชาหรือไม่ ซึ่งเส้นเขตแดนไทยจะต้องเป็นเส้นแนวสันปันน้ำทั้งหมด และบอกว่าประสาทพระวิหารมันตั้งอยู่ในขอบเขตประเทศไทย” นายนพดล กล่าว

 นายนพดล กล่าวอีกว่า หากจะขอขึ้นทะเบียนร่วมก็ขอให้สั่งกระทรวงทรัพยฯ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรมไปทำเอกสาร เพื่อขอยื่นเรื่อง ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯระบุว่าการทำบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูการสำรวจและการปักปันเขตแดนทางบกหรือเอ็มโอยู 43 จะทำให้ไทยเสียพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ที่เป็นพื้นที่ระวางดงรักษ์ทำให้ไทยเสียเปรียบอีกหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ต้องให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯก็ควรเรียกร้องให้เป็นไปตามกรอบ อย่าบุกไปทำนาในทำเนียบรัฐบาลอีก อย่าไปบุกในพื้นที่ทับซ้อน เพราะมีการวางกับระเบิดอยู่มาก

 นายนพดล กล่าวว่า ที่ผ่านมาเห็นด้วยและชื่นชมนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่บอกว่าเรื่องนี้ทุกฝ่าย ทุกพรรคต้องช่วยกัน เพราะเป็นเรื่องปกป้องอธิปไตยของประเทศ อย่านำเรื่องนี้มาเล่นเป็นการเมือง ขอให้นายอภิสิทธิ์ดำเนินการเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ โดยตั้งคณะกรรมการที่มาจากทุกสี ทุกพรรคเข้ามามีส่วนร่วมที่จะพิจารณา เพื่อป้องกันปลุกกระแสคลั่งชาติ หาเศษหาเลยทางการเมืองกับเรื่องนี้ เมื่อตกผลึกแล้วก็นำไปคุยกับกัมพูชา จะทำให้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ทั้งฝ่ายค้านและตนยินดีให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อให้ความสัมพันธ์ทั้ง 2 ประเทศกลับมาเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก ยกเว้นนายกฯว่ามาก็ต้องสวนไปเรื่อยๆเพราะไม่ชอบโดนป้ายอุจจาระจากพรรคประชาธิปัตย์เหมือนกัน และในเร็วๆนี้จะออกหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค เรื่องมหากาพย์ประสาทพระวิหาร ที่จะมีเอกสารหลักฐานทางราชการในเรื่องนี้ประกอบด้วย

ชวนนท์โต้สุรเกียรติ์อย่าวิจารณ์เพียงหวังผลทางการเมือง

 นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย  อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่ารัฐบาลใช้ยาแรงในระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกว่า  ไทยจำเป็นต้องแสดงท่าทีดังกล่าวเพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกเห็นว่าหากมีการให้การรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารคนไทยและประเทศไทยไม่สามารถยอมรับได้  ส่วนจะรุนแรงเกินไปหรือไม่นั้นเป็นเรื่องแล้วแต่คนจะมอง 

 "แต่เหตุผลต่างๆและหลักฐานที่เรานำเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาที่สุดก็ทำให้คณะกรรมการมรดกโลกเข้าใจว่า  พื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดนและอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อปักปันเขตแดนระหว่างกัน  จึงอยากขอให้ผู้ที่ไม่มีส่วนในการแก้ไขปัญหาให้กำลังใจรัฐบาลที่กำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลในขณะนี้ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นแต่เป็นปัญหาที่สะสมกันมานาน"  นายชวนนท์ กล่าวและว่า

 อย่างไรก็ดีอะไรที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็พร้อมจะรับฟังเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ  แต่ขอให้พูดด้วยใจเป็นธรรม  อย่าพูดเพียงเพราะหวังผลทางการเมืองหรือกลบเกลื่อนสิ่งที่เคยกระทำในอดีต