ข่าว

ใครเป็นใครในข้อขัดแย้งเขาพระวิหาร

ใครเป็นใครในข้อขัดแย้งเขาพระวิหาร

29 ก.ค. 2553

ช่วงนี้ คนไทยไม่ใช่น้อยต่างรู้สึกสับสนไปหมดกับสารพัดข้อมูลที่ทะลักเข้ามาไม่ขาดสายเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ที่ประเทศบราซิล เพื่อพิจารณาแผนการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก หนำซ้ำข้อมูลเหล่านั้นยังมากด้วยเบื้องหน้าเบื้

อย่างไรก็ดี ถ้าดูคร่าวๆ แล้ว คู่กรณีที่ถือเป็นตัวละครหลักในกรณีนี้มี 3 ฝ่ายด้วยกัน โดยต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายและจุดยืนทั้งเหมือนและต่างกันออกไป

 ฝ่ายแรกก็คือกัมพูชาซึ่งพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้คณะกรรมการมรดกโลกลงมติรับรองให้พื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก และกระบวนการนี้มาถึงขั้นตอนการนำเสนอแผนการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา ตามข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 22-30 มิถุนายน 2552 ที่เมืองเซบีญ่า ประเทศสเปน ที่ขอให้กัมพูชาเสนอแผนการจัดการปราสาทพระวิหารฉบับสมบูรณ์ ต่อคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งนี้

 ถ้าหากคณะกรรมการมรดกโลกลงมติรับรองร่างแผนการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ก็จะทำให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมีผลโดยสมบูรณ์

 ก่อนหน้าการประชุมจะเริ่มขึ้น ผู้แทนไทยในฐานะรองประธานคณะกรรมการมรดกโลก ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงการตุกติกของฝ่ายกัมพูชาที่ไม่ได้นำส่งเอกสารต่างๆ ก่อนการประชุม 45 วันตามข้อกำหนด แต่ประธานกรรมการมรดกโลก ซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพ ตอบกลับว่า การจัดส่งเอกสารล่าช้าเคยมีมาแล้วในการประชุมครั้งที่ผ่านมา

 กลุ่มที่ 2 ก็คือรัฐบาลไทย ซึ่งมีจุดยืนแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปรไปจากช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคงเป็นแค่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน นั่นก็คือคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจการสำรวจและการปักปันเขตแดนทางบกปี 2543 (เอ็มโอยู) โดยให้เหตุผลว่าเอ็มโอยูจะเป็นประโยชน์ในการแบ่งพื้นที่ทับซ้อน เพราะเป็นการยอมรับว่าพื้นที่ที่กัมพูชาจะอ้างแผนที่นั้นยังเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา ไม่อาจถือตามแผนที่ของกัมพูชาได้ อีกทั้งการยอมรับของกัมพูชาในเอ็มโอยูนี้ ยังรวมถึงการที่ต้องไม่เข้ามาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงสภาพในพื้นที่ ซึ่งเป็นจุดที่ไทยจะใช้ในการประท้วง

 นายอภิสิทธิ์ ยืนยันด้วยว่า รัฐบาลจะยึดหลักสันปันน้ำในการแบ่งเขตแดนบริเวณเขาพระวิหาร และไม่ยอมรับการใช้แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ของกัมพูชาที่ใช้ยื่นจดทะเบียนปราสาท เพราะถือเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย

 นอกจากนี้ ยังได้ตอกย้ำหลักการว่าคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโกมีหน้าที่ในการแสวงหาสันติภาพและส่งเสริมวัฒนธรรม รวมถึงแสวงหาทางออกโดยสันติวิธี จึงควรเลื่อนการพิจารณาไปจนกว่าจะมีการตกลงในเรื่องของเขตแดนได้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ใช่ส่งเสริมให้มีการสู้รบกัน

 แต่เพื่อความไม่ประมาท รัฐบาลได้เตรียมมาตรการรองรับไว้หลายมาตรการในกรณีที่คณะกรรมการมรดกโลกอาจลงมติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไม่ว่าจะเป็นการวอล์กเอาท์ จากนั้นก็เปิดแถลงจุดยืนต่อประชาคมโลก ตามด้วยการทบทวนการเป็นภาคีสมาชิกยูเนสโก ซึ่งอาจหมายถึงถอนตัวจากองค์การนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการตอบโต้ที่รุนแรง แต่จะได้มากกว่าเสียหรือไม่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาให้รอบคอบเนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ

 กลุ่มสุดท้ายก็คือภาคประชาชนภายใต้การนำของแกนนำบางคนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งมีจุดยืนที่ทั้งเหมือนและต่างจากกลุ่มที่ 2 หรือภาครัฐบาล นั่นคือคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะหากกัมพูชาทำสำเร็จ ไทยจะต้องสูญเสียดินแดนถึง     4.6 ตารางกิโลเมตรหรือกว่า 1.8 ล้านไร่

  แต่พธม.มีจุดยืนแข็งกร้าวมากกว่าตรงที่เรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจการสำรวจและการปักปันเขตแดนทางบกปี 2543 (เอ็มโอยู) รวมทั้งให้ขับไล่ทหารและชาวกัมพูชาพ้นจากพื้นที่พิพาท นอกเหนือจากเสนอให้รัฐบาลบอยคอตการประชุมตั้งแต่เริ่มต้น โดยให้เป็นการทำหนังสือส่งไปแทน

 ว่าไปแล้ว ในจุดหนึ่งทั้งรัฐบาล ภาคประชาชนและกองทัพต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และในหลายๆ กรณีก็ได้ร่วมมือกันเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศ

บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์