ข่าว

"ประยุทธ์"จ่อนั่งผบ.ทบ.-ส่อเด้ง"ทรงกิตติ"

"ประยุทธ์"จ่อนั่งผบ.ทบ.-ส่อเด้ง"ทรงกิตติ"

17 ก.ค. 2553

โผทหารตามคาด“อนุพงษ์” ดันทายาทบูรพาพยัคม์“ประยุทธ์”ขึ้นแม่ทัพบก พร้อมเปลี่ยนแม่ทัพภาค 1-4 “ดาว์พงษ์” ลุ้น“เสธ.ทบ.” หลังโชว์ผลงานกระชับวงล้อมเสื้อแดง 19 พ.ค. จับตาบิ๊กเซอร์ไพรส์โยก“ทรงกิตติ” ไปปลัดกลาโหม “กิตติพงษ์” น้องเลิฟ “ประวิตร” จ่อเสียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุม ผบ.เหล่าทัพ ได้แก่ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เพื่อพิจารณากำหนดกรอบนโยบายการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2553

 ทั้งนี้ มีการวางหลักการว่า ให้ยึดความอาวุโส และความรู้ ความสามารถ ของผู้ที่จะไปดำรงตำแหน่งหลักของแต่ละเหล่าทัพ หลังจากนั้นสิ้นเดือนกรกฎาคมจะนัด ผบ.เหล่าทัพ หารือถึงบัญชีรายชื่อครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะนำเสนอแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ถวายต่อไป

 ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 9-10 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรเดินทางไปเยือนประเทศลาวพร้อมกับพล.อ.ทรงกิตติ และคณะนายทหารระดับสูง เพื่อร่วมประชุมความร่วมมือระหว่างไทย-ลาว นั้น ได้นำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2553 มาพิจารณา โดยเฉพาะตำแหน่งหลักของแต่ละเหล่าทัพที่ขณะนี้ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมที่ พล.อ.อภิชาตจะหมดวาระสิ้นเดือนกันยายน ตำแหน่งดังกล่าว พล.อ.อภิชาตได้เสนอให้พล.อ.พหล สง่าเนตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อนร่วมรุ่น ตท.8 ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน แต่ฝ่ายการเมืองไม่เห็นด้วย

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่ฝ่ายการเมืองสกัดกั้นไม่ให้ พล.อ.พหลขึ้นมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม เนื่องจากพล.อ.พหลไปแสดงความคิดเห็นโดยที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่ของทหารในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่กำลังทหารปฏิบัติการกระชับวงล้อม จนทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยคำพูดของพล.อ.พหลที่ไม่อยากให้ทหารถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐบาล รู้ไปถึงหูนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทำให้ทั้งสองคนไม่พอใจต่อคำพูดดังกล่าว พร้อมกับจะมีการเปิดตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษา รมว.กลาโหมให้พล.อ.พหล หรือไม่ก็อาจจะยังอยู่ที่เดิม

 นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวด้วยว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม อาจจะมีการโยกพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ข้ามห้วยมาดำรงตำแหน่งแทน เนื่องจากที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองไม่ค่อยพอใจกับจุดยืนและการวางตัวของพล.อ.ทรงกิตติ ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงสักเท่าไหร่ และมีการผลักดันให้พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งมีความสนิทสนมกับพล.อ.ประวิตร ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งก่อนหน้านี้พล.อ.ประวิตรพยายามผลักดันพล.อ.กิตติพงษ์ มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

 อย่างไรก็ตาม หากพล.อ.ทรงกิตติไม่ถูกโยกข้ามห้วยมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม อีกแนวทางที่ พล.อ.ประวิตรวางไว้ คือจะให้พล.อ.กิตติพงษ์ มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมแทน

 ส่วนตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหมที่ว่างลงอีก 3 ตำแหน่ง หลังจากที่ พล.อ.พิศณุ อุไรเลิศ รองปลัดกระทรวงกลาโหม คนที่ 1 พล.ร.อ.เกียรติศักดิ์ อักษรศรีกุล รองปลัดกระทรวงกลาโหม คนที่ 2 พล.อ.อ.พุฑฒิ มังคละพฤกษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม คนที่ 3 เกษียณอายุราชการ และ พล.อ.พหล อาจจะไปเป็นประธานคณะที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ก็อาจจะมีการโยกให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) มาเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม คนที่ 1 และโยก พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ รองเสนาธิการทหาร มาเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมคนที่ 2 ส่วนโควตาของกองบัญชาการกองทัพอากาศขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการวางตัวบุคคลที่เหมาะสม

 ส่วนกองบัญชาการทหารสูงสุด หากมีการปรับเปลี่ยนตามกระแสข่าวจะทำให้รองผู้บัญชาทหารสูงสุด และผู้เกษียณอายุราชการ คือ พล.อ.อ.มานิตย์ ช้างเผือก รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.รัชกฤต กาญจนวัฒน์ เสนาธิการทหาร จะทำให้ว่างลงถึง 3 ตำแหน่ง โดยจะมีการสลับตำแหน่ง ให้พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย มาดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร เพื่อรอจ่อคิวตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในปีถัดไป แล้วโยก พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เกิดสุข รองเสนาธิการทหาร มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และให้ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ขยับเป็นประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ส่วน พล.ร.อ.วัลลภ เกิดผล ยังคงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตามเดิม

 ส่วนกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน กันยายนนี้ ได้เสนอชื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ขยับขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 37 ขณะนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพล.อ.ประวิตร ต่างก็เห็นชอบ

 ทั้งนี้ การที่เลือกพล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เพื่อเป็นฐานค้ำบังลังก์ให้แก่รัฐบาล และขยับให้ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหาร อาจจะมีการขยับ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง

 ส่วนตำแหน่งเสนาธิการทหารบก พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ซึ่งเป็นเพื่อน ตท.12 รุ่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ น่าจะไม่พลาดตำแหน่งนี้ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา พล.ท.ดาว์พงษ์มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันวางแผนกระชับวงล้อมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และขยับให้ พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพบก

 ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ต้องการที่จะมีการปรับเปลี่ยนแม่ทัพภาคทั้ง 4 ภาคในเวลานี้ด้วยเช่นกัน โดยมีรายงานว่าหลังจากที่พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ขยับขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกแล้ว ก็จะมีการผลักดันให้ พล.ต.อุดมเดช สีตะบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 1 ลูกหม้อสายบูรพาพยัคฆ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 แต่ตำแหน่งดังกล่าวก็ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะพล.อ.ประวิตร ก็มีความพยายามที่จะดันให้ พล.ท.คณิต เป็นเสนาธิการทหารบกด้วย

 ส่วนกองทัพภาคที่ 2 หลังจากที่ พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 เกษียณ ก็ได้มีการผลักดัน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพน้อยที่ 2 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2

 ขณะที่กองทัพภาคที่ 3 ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้ พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 เข้ามาอยู่ในไลน์ 5 เสือ ทบ. และขยับให้ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพน้อยที่ 3 ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง โดยเบียดเพื่อน ตท.12 อย่าง พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ที่ พล.อ.ประยุทธ์พยายามผลักดันโยกย้ายจากกรมยุทธศึกษาทหารบก มาอยู่ที่กองทัพภาคที่ 3

 ส่วนกองทัพภาคที่ 4 มี 2 คน ที่เป็นตัวเต็งคือ พล.ท.กสิกร คีรีศรี (ตท.11) ผู้บัญชาการกองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร (ผบ.พตท.) จุดเด่นของ พล.ท.กสิกร คือเป็น "คนใน" ของกองทัพภาคที่ 4 อยู่แล้ว รับราชการอยู่ในภาคใต้มานาน ที่สำคัญ พตท. หรือ พตท.43 เดิม ก็คือหน่วยบัญชาการใช้กำลังในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่พร้อมๆ กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และมาปรับยศ ผบ.พตท.เป็น "พลโท" ในภายหลัง ทำให้กองทัพภาคที่ 4 มีนายทหารยศ "พลโท" ถึง 2 คนและ พล.ท.กสิกร ก็เป็น ผบ.พตท.ที่ครองยศ "พลโท" เป็นคนแรก เรียกว่ารู้งาน รู้โครงสร้างเป็นอย่างดี แต่จุดอ่อนของ พล.ท.กสิกร ก็คือเหลืออายุราชการอีกเพียงแค่ปีเดียว

 คนที่ 2 พล.ต.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ (ตท.13) รองแม่ทัพภาคที่ 4 คนที่หนึ่ง จุดเด่นของ พล.ต.อุดมชัย ก็คือเป็นรองแม่ทัพอันดับ 1 ซึ่งโดยประเพณีทหารก็มีโอกาสและความชอบธรรมสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพ ประกอบกับพล.ต.อุดมชัยมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ จัดว่าเป็นนายทหารที่ได้รับการยอมรับในระดับน่าพอใจคนหนึ่ง

ด้านกองทัพเรือ มีนายทหารระดับสูงเกษียณอยู่ 2 ตำแหน่งหลัก คือ พล.ร.อ.ยอดชาย รักสำรวจ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพเรือ และ พล.อ.ธนา บุนนาค ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งคาดว่า พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ จะขยับให้เพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 พล.ร.ท.รพล คำคล้าย เสนาธิการทหารเรือ มาดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพเรือ เพื่อมากินอัตราจอมพล และขยับให้ พล.ร.ท.วีระพล กิจสมบัติ รองเสนาธิการทหารเรือขึ้นมาดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือแทน โดยมี พล.ร.อ.ศุภกร บูรณดิลก ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ

ขณะที่กองทัพอากาศ พล.อ.อ.อนาวิล ภิรมย์รัตน์ รองผู้บัญชาการทหารอากาศ เกษียณ คาดว่า พล.อ.อ.อิทธพรจะขยับให้ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารอากาศ และมี พล.อ.ท.วินัย เปล่งวิทยา ผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศ ขยับมาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศแทน