
หมุดชายแดน:หมู่บ้าน1: 200,000ปกป้องท้องถิ่น
ข่าวการพบหมุดที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหมุดปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาลึกเข้ามาในฝั่งไทย 12.5 กิโลเมตร ทำให้ไทยอาจจะต้องสูญเสียอาณาเขตตลอดแนวชายแดนฝั่งนี้ 7 จังหวัด กว่า 1.8 ล้านไร่ จนชาวบ้านตามตะเข็บชายแดนออกมาต่อสู้เรียกร้องให้ภาครัฐออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องน
"ศรีเมือง วัฒนาชีพ" ประธานเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ เล่าว่า หลังจากภาคประชาชนได้รับข้อมูลจากหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ มติด้านการเมืองการปกครอง และสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านตามแนวชายแดน ข้อมูลเหล่านี้มีเค้าลางว่าประเทศไทยอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดนให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ชาวบ้าน 7 จังหวัดตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ได้รับความเดือดร้อนจึงได้รวมตัวขึ้น เพื่อปกป้องประเทศชาติ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 7 หมื่นคน
โดยแต่ละจังหวัดจะมีแกนนำตรวจสอบข้อมูล และวางกรอบปฏิบัติไว้หลายประการ แต่หลักใหญ่ๆ คือต้องการปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนให้คงอยู่ตลอดไป ป้องกันการรุกรานของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ป้องกันการเสียดินแดนจากขบวนการใดๆ และดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ที่จะนำไปสู่ความร่วมมือเพื่อให้เกิดสันติภาพแทนความขัดแย้งอันนำไปสู่ภาวะสงคราม
"เราพยายามหาข้อมูลจากพื้นที่และประกาศให้สังคมได้รับรู้ว่า ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง เป็นการกระตุ้นเตือนให้ภาครัฐอย่านิ่งนอนใจ อย่างเช่นการประชิดติดเข้ามาของกองกำลังกัมพูชา การเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยของชาวกัมพูชา เป็นต้น"
ศรีเมืองบอกว่า ปัจจุบันสมาชิกมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในเครือข่าย 7 จังหวัด โดยก่อตั้งหมู่บ้าน 1 : 200,000 ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยสะเตา บ้านหนองน้ำซับ หมู่ 5 ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ มีตัวแทนจากชาวบ้านตามตะเข็บชายแดนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาพักอาศัยในหมู่บ้าน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ โดยคนเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนเครือข่ายเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อยื่นหนังสือ ขอคำชี้แจง หรือนำข่าวสารที่ได้จากพื้นที่กระจายออกไปสู่สังคมภายนอกให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่แท้จริง
สำหรับหมู่บ้าน 1 : 200,000 จะมีชาวบ้านจาก 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด กว่า 500 คน 300 หลังคาเรือน มารวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลในพื้นที่ ใครมีปัญหาอะไรก็นำมาบอกเล่า โดยเครือข่ายจะเก็บข้อมูลเอาไว้ประชาสัมพันธ์ให้สังคมภายนอกได้รับรู้ ทั้งนี้บ้านแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ จากวัสดุที่หาได้ในพื้นที่ มีเครื่องปั่นไฟเล็กๆ สำหรับเครื่องขยายเสียงและไฟส่องสว่างช่วงหัวค่ำ การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทุก 8 โมงเช้าและ 6 โมงเย็น ชาวบ้านจะมาเข้าแถวเคารพธงชาติที่หน้าเสาธง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชุมชนชาวกัมพูชาที่อยู่หลังแนวป่าไม่ไกลออกไป
นางแก้ว วัย 47 ปี จาก จ.สระแก้ว เป็นหนึ่งในผู้เดือดร้อนจากการลุกล้ำเข้ามาของกองกำลังชาวกัมพูชา จนถูกผลักดันออกจากพื้นที่ทำกินเดิม จึงมารวมตัวกับเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ได้ 5 เดือนเศษ คอยสนับสนุนเรื่องข้อมูลข่าวสารแก่เครือข่ายและผู้ที่ต้องการทราบข้อเท็จจริง นางแก้วบอกว่า พื้นที่ชายแดนเข้าถึงยาก คนส่วนใหญ่พูดภาษาเขมร ใครที่พอพูดคุยได้ก็ได้รับไมตรี แต่ถ้าเป็นคนต่างถิ่นมักจะถูกปฏิเสธ เธอจึงอาสามาเป็นคนกลางให้ข้อมูลที่เป็นจริง
บัวแก้วยันเคลื่อนหมุดไม่เสียดินแดน
กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ชี้แจงข่าวการเคลื่อนย้ายหมุดหลักฐานของกรมแผนที่ทหารว่า ตามที่มีข่าวค้นพบหมุดหลักฐาน หรือที่เข้าใจว่าเป็น "หมุดปักพรมแดน" บริเวณสันเขื่อนห้วยเมฆา อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในดินแดนไทย 12.5 กิโลเมตร อาจทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของหมุดหลักฐาน และสถานะล่าสุดของการดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ดังนี้
1.หมุดหลักฐานดังกล่าวไม่ใช่หลักเขตแดนที่แสดงแนวแบ่งเขตไทย-กัมพูชา แต่เป็นหมุดหลักฐานดาวเทียม จีพีเอส ที่ใช้งานทางเทคนิค ซึ่งกรมแผนที่ทหารสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2550 เพื่อใช้เป็นหมุดขยายโครงข่ายจีพีเอส สำหรับเป็นค่าพิกัดอ้างอิงในการถ่ายทอดค่าพิกัดให้แก่หลักเขตแดนไทย-กัมพูชา หมายเลข 25 และ 26 โดยหมุดดังกล่าวสร้างในฝั่งไทย 1 หมุด สร้างในฝั่งกัมพูชา 1 หมุด อยู่ห่างจากแนวเขตแดนประมาณ 7-8 กิโลเมตร สาเหตุที่ใช้ข้อความว่า "เขตแดนไทย-กัมพูชา" ในทางเทคนิคมีจุดประสงค์เพื่อสื่อความหมายว่า หมุดนี้เป็นหมุดขยายโครงข่ายจีพีเอสในงานเขตแดนไทย-กัมพูชา เพราะที่หมุดจะมีหมุดทองเหลืองฝังอยู่ตรงกลาง มีข้อความว่าจีพีเอส กรมแผนที่ทหารอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิดว่า จุดนี้เป็นแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา กรมแผนที่ทหารจึงเปลี่ยนข้อความบนหมุดเป็น "หมุดขยายโครงข่าย" เมื่อเดือนกันยายน 2552 ซึ่งในวันที่ 22 มกราคม 2553 และ 20 มิถุนายน 2553 กรมแผนที่ทหารได้ชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและส่วนราชการในพื้นที่ทราบแล้ว
2.การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนด้านไทย-ลาว และไทย-มาเลเซีย ก็มีการสร้างหมุดหลักฐานขยายโครงข่ายจีพีเอส เพื่อใช้เป็นค่าพิกัดอ้างอิงเช่นเดียวกัน
3.หมุดหลักฐานขยายโครงข่ายจีพีเอส มีขนาด 30X30 เซนติเมตร เสมอพื้นดิน มีขนาดรูปร่างและลักษณะการสร้างที่แตกต่างจากหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีขนาด 40X40 เซนติเมตร สูงเหนือพื้นดินประมาณ 1 เมตร อนึ่ง หากเป็นหลักเขตแดนซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงสร้างขึ้นมา ฝ่ายไทยย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแต่ฝ่ายเดียวได้
4.การดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ดำเนินการไปตามข้อกำหนดอำนาจหน้าที่และแผนแม่บทในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ซึ่งได้กำหนดขั้นตอนต่างๆ สำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ การค้นหาที่ตั้งและสภาพของหลักเขตแดนเดิม 73 หลัก รวมถึงการซ่อมแซมหลักเขตแดนเดิม, การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1 : 25,000 ตลอดแนวเขตแดน, การลากแนวที่จะเดินสำรวจบนแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ, การตรวจสอบภูมิประเทศ และการปักหลักเขตแดน
5.ปัจจุบันงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา 3 ครั้ง ที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการในขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น คือค้นหาที่ตั้งของหลักเขตแดนเดิม 73 หลัก จึงไม่มีการขยับหลักเขตแดนตามที่เป็นข่าว การจะทราบว่าตำแหน่งหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งหมดจะอยู่ที่ใดแน่นอนนั้น จะต้องรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ดำเนินการครบ 5 ขั้นตอนก่อน
6.เมื่อครบ 5 ขั้นตอนแล้ว ผลงานของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ก็ยังไม่มีผลผูกพันประเทศทั้งสอง เจ้าหน้าที่ต้องนำผลการสำรวจปักหลักเขตแดนเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณานำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว รัฐบาลไทยจะต้องให้สัตยาบันข้อตกลงเป็นทางการ การสำรวจและปักหลักเขตแดนจึงมีผลทางกฎหมาย