
เจาะขุมทรัพย์ตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา
ยังเป็นข้อกังขาเกี่ยวกับหมุดแบ่งเขตชายแดนไทย-กัมพูชา 73 หมุด ที่ล้ำเข้ามาจากแนวสันปันน้ำ 12.5 กิโลเมตร ทำให้ประเทศไทยอาจจะต้องสูญเสียแผ่นดินไปปริมาณมหาศาล โดยที่ทางการยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ชาวบ้านในพื้นที่ที่ประสบชะตากรรมแตกต่างกันไป !?!
ภายใต้ดวงตาที่แข็งกร้าวหัวใจที่ปวดร้าวของ "บุญเยี่ยม สายบัวทอง" ชาวบ้านสระสาม ต.หนองแวง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่เฝ้ามองผืนไร่ที่เขาและครอบครัวทำกินมานานแสนนาน วันนี้สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้แล้ว แต่เขาและเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์หรือเก็บเกี่ยวพืชผลของตัวเองได้ ทั้งที่เป็นที่ทำกินมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย
บุญเยี่ยมจำได้ดีว่าตั้งแต่ปี 2510 เขากับครอบครัวปักหลักทำกินอยู่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ใช้พื้นที่ทำกินของตัวเองทำไร่ทำนาเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยไม่มีปัญหา ต่อมาปี 2519-2520 เกิดสงครามเขาและครอบครัวถูกทหารผลักดันออกจากพื้นที่ จนปี 2533 สถานการณ์สงบลงจึงกลับเข้าไปในพื้นที่อีกครั้ง แต่ก็ประสบกับปัญหาไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่เดิมได้ เนื่องจากพื้นที่ที่เคยทำกินปัจจุบันกลายเป็นป่าสมบูรณ์ จนกรมป่าไม้เข้ามาดูแล แต่กองทัพได้จัดสรรพื้นที่ทำกินให้เป็นสัดส่วน ไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์
ต่อมาปี 2536-2538 มีการสำรวจพื้นที่ทำกินเพื่อออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.ให้ชาวบ้าน แต่แล้วเรื่องก็เงียบหายไป เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.หยุดการทำงานอ้างเพียงว่าต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา สุดท้ายหลังมีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร บุญเยี่ยมและชาวบ้านก็ไม่สามารถเข้าไปทำกินในพื้นที่ทำกินดั้งเดิมได้อีกต่อไป
"ผมแปลกใจที่ทางการไทยพยายามผลักดันเราออกนอกพื้นที่ ใครรุกล้ำเข้าไปจะถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมาย ตรงกันข้ามมีชาวกัมพูชาจำนวนมากเข้าไปทำกินยังพื้นที่ทำกินของเราได้ สอบถามทหารก็บอกว่าไม่สามารถผลักดันหรือจับกุมดำเนินคดีได้ เพราะพวกเขาไม่มีบัตรประชาชน ผมเคยเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านพบว่า ชาวกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทยจะได้รับโฉนดครอบครัวละ 20 ไร่ พร้อมอุปกรณ์ก่อสร้างและเงินจำนวนหนึ่ง" บุญเยี่ยม กล่าว
ปัญหาที่บุญเยี่ยมประสบอยู่ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านที่ จ.สุรินทร์ "จันทร์ศรี นิวาส" เจ้าของไร่ยูคาลิปตัสบ้านห้วยสะเตา ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ติดชายแดนไทย-กัมพูชา เขาทำกินบนผืนดินตัวเองมานานหลายปีแล้ว แต่ปัจจุบันต้นยูคายืนต้นรอตัดโค่น ทว่าจันทร์ศรีได้แต่ยืนมองเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเขาได้เลย ที่ผ่านมามีชาวบ้านหลายคนพยายามเข้าไปในพื้นที่ทำกินเดิม แต่ก็ไม่ได้รับความปลอดภัย ทั้งถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุมดำเนินคดี และความไม่ปลอดภัยจากกลุ่มคนชาวกัมพูชาที่เข้ามาปักหลักทำกินอยู่ในฝั่งไทย
"ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงเข้าไปทำกินในพื้นที่ตัวเองไม่ได้อีกแล้ว" จันทร์ศรี ตั้งคำถาม
"ศรีเมือง วัฒนาชีพ" ประธานเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ เปิดเผยว่า การขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกทำให้เกิดปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนระหว่าง 2 ประเทศ ไทยอาจต้องเสียพื้นที่บางส่วนให้แก่กัมพูชา ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก เพราะในพื้นที่ทับซ้อนมีผลประโยชน์ก้อนใหญ่แอบแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมูลค่ามหาศาล ซึ่งเมื่อ 30 ปีก่อนไทยได้สำรวจพบแหล่งก๊าซและน้ำมันในทะเลอ่าวไทยและพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกิดจากธุรกิจรอบๆ สถานที่ที่จะกลายเป็นมรดกโลก
ทั้งนี้ ศรีเมืองได้หยิบยกข้อมูลของบริษัทเซฟรอนที่สำรวจพบบ่อน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของกัมพูชา เมื่อปี 2548 มีการคาดการณ์ว่าจะมีน้ำมันถึง 700 ล้านบาร์เรลและกาวอีก 3-5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยธนาคารโลกได้ประเมินว่าพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่าง 2 ประเทศ น่าจะมีน้ำมันมากกว่า 2,000 ล้านบาร์เรล ยังไม่รวมก๊าซธรรมชาติ จึงเป็นที่มาของรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาเห็นพ้องกันว่า จะจัดเจรจาตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ให้เร็วที่สุด โดยวันที่ 18 มิถุนายน 2544 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับรัฐบาลกัมพูชาได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ 2 ประเทศอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อน มีผลเป็นรูปธรรมเดือนสิงหาคม 2549
ต่อมาข้อตกลงดังกล่าวต้องหยุดชะงักลง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็นรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกันอีกครั้งระดับประเทศในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งช่วงนั้นมีข่าวหนาหูมากว่าการเจรจาเรื่องผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อนมีเงื่อนงำ เพราะมีนักการเมืองไทยเสนอแลกปราสาทพระวิหารกับการได้สัมปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือทำให้เห็นภาพโครงร่างชัดเจน เมื่อกัมพูชาพยายามพัฒนาถนนหนทาง แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม โดยบริเวณที่เชื่อว่าจะเป็นแหล่งน้ำมัน (เกาะกง) มีการเตรียมพัฒนาพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดตามมา
ศรีเมืองบอกด้วยว่า นอกจากผลประโยชน์เรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้ว ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทางธรรมชาติอีกหลายอย่างที่ประเทศไทยจะสูญเสียไป หากมีการปักปันพรมแดนภายใต้แผนที่ที่มีข้อตกลงกันคือ 1 : 200,000 แต่ไม่ใช่ฉบับที่ยึดถือแนวหลักชายแดนจากแนวสันปันน้ำ
"พื้นที่ป่าชายแดนหรือที่เรียกว่าเทือกเขาพนมดงรัก เรายืนยันเลยว่าป่าตรงนี้เป็นป่าที่มีความสมบูรณ์มาก เป็นแหล่งต้นน้ำหลายสายหล่อเลี้ยงชีวิตของคนภาคอีสาน มีสัตว์ป่าหายาก มีกล้วยไม้หายาก และยังมีไม้ใหญ่ ที่ป่าแห่งนี้มีไม้พะยอมที่ดีสุดของโลก และหลงเหลืออยู่ที่นี่เพียงแห่งเดียว ถ้าหากป่าผืนนี้มีการปักปันเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันจริง จะมีผู้ที่ได้รับสัมปทานเข้ามาบริหารจัดการ ผลประโยชน์ที่ได้คงจะน้อยกว่าความสูญเสีย" ศรีเมืองกล่าวทิ้งท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังการตรวจสอบกับเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่พบว่า มีกองกำลังติดอาวุธและประชาชนชาวกัมพูชารุกล้ำเข้าตั้งถิ่นฐานฝั่งไทยแล้วอย่างน้อย 9 พื้นที่ ได้แก่ 1.พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 2.ช่องตาเฒ่า บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 3.ปราสาทโดนตวล บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 4.ภูมะเขือเฒ่า บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
5.กลุ่มปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ 6.ปราสาทตาควาย บ้านไทยนิยม ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ 7.สระสาม ต.หนองแวง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ 8.ถนนศรีเพ็ญ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 9.บ้านเหล่าอ้อย ต.หนองสังข์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งจากการตรวจสอบแบบไม่เป็นทางการมีชาวกัมพูชากว่า 1 หมื่นคน เข้ามาปักหลักอยู่ในบริเวณข้างต้น
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวพยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหารในพื้นที่ เจ้าหน้าที่อำเภอ เกี่ยวกับปัญหาชายแดนขณะนี้ได้รับการปฏิเสธว่า ไม่อยากให้มีเรื่องกระทบกระเทือนระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศในช่วงนี้