ข่าว

 คนหัวไข่

คนหัวไข่

13 ก.ค. 2553

คนไทยยุคก่อนไม่มีปัญหาเรื่องราคาไข่ และผักหญ้าสำหรับนำมาทำอาหาร เพราะแต่ละครัวเรือนล้วนมีการเลี้ยงไก่ปลูกผักสวนครัวกันทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่บ้านเรือนในกรุงเทพฯ ก็หากระถางกาละมังเก่าๆ มาปลูกตะไคร้ ใบกะเพรา ลูกเด็กเล็กแดงยุคนั้นมีหน้าที่ตื่นแต่เช้าเพื่อเก็

 เวลาที่ผ่านไปทำให้สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนเริ่มเปลี่ยนแปลง รัฐก็ไม่ส่งเสริมให้คนรู้จักพึ่งพาตนเองตามวิถีพอเพียง หรือพอจะมีโครงการที่จะให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้บ้าง ก็ถูกเขมือบยักย้ายถ่ายเทงบประมาณโดยนักการเมือง จนได้รับชื่อว่า “โครงการผักสวนครัว อั๊วกินเอง” ไปเสียฉิบ

 เมื่อชาวบ้านไม่เลี้ยงไก่ปลูกผักด้วยตนเอง ถึงเวลาที่ฝนแล้งน้ำแห้งขอดจากแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแม้แต่เมื่อน้ำมากเกินไปจนหลากท่วมพื้นที่ ผักหญ้าสำหรับนำมาปรุงเป็นอาหารก็ขึ้นราคาเพราะหายาก ชาวประชาก็เดือดร้อนทั้งคนในเมืองและในชนบท กระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ก็จะออกโรงมาทำท่าทีคล้ายกับว่ามีน้ำยาพอที่จะแก้ไข

 แต่ปัญหาเรื่องไข่ไก่กลับต่างไปจากปัญหาผักหญ้าราคาแพง เพราะไข่ไก่มีกระบวนการทางการผลิตป้อนสู่ตลาดที่เป็นระบบเป็นกระบวนการมากกว่า การที่ภาครัฐคิดจะเข้ามาจัดการปัญหาราคาไข่ไก่แพงจึงน่าจะไม่ประสบผลสำเร็จ ดังจะเห็นได้จากเริ่มต้นขึ้นมาก็ใช้วิธีการซื้อเวลา ด้วยการตั้งคณะกรรมการไข่ขึ้นมาหนึ่งชุด  

 ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกที่คันเหมือนกับแบกเอาภาระมาใส่บ่าโดยใช่ที่ เพราะเมื่อมีคณะกรรมการไข่ไก่ขึ้นมาแล้ว ถึงเวลาที่ไข่ไก่มีราคาถูกลงตามหลักอุปสงค์และอุปทาน คณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้ก็คงต้องเข้าไปแก้ไขราคาไข่ไก่ที่ตกต่ำลงด้วย ทำราวกับว่างานอื่นที่สำคัญกว่านี้ไม่มีจะทำกันแล้วกระนั้นหรือ

 ทั้งที่หากพิจารณากันให้ดีจะพบว่าการที่ไข่ไก่มีราคาแพงขึ้นในช่วงนี้ เป็นไปตามกลไกการตลาดในหลักการอุปสงค์และอุปทานตามปกติ อากาศร้อนจัด, ฝนตกหนัก, อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไก่ก็ออกไข่น้อยลง และหมูไก่ปลามีราคาแพงขึ้นคนก็หันมาบริโภคไข่กันมากขึ้น สักพักหนึ่งเมื่อคนบริโภคกันน้อยลงหรือไข่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ไข่ไก่ก็ย่อมจะมีราคาลดลงไปเอง

 หากรัฐต้องการให้ไข่ไก่มีราคาลดลงอย่างยั่งยืน ก็หันมารื้อเอาโครงการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักปลูกผักสวนครัว และเลี้ยงไก่ด้วยตนเองเพื่อเอาไว้กินไข่กินเนื้อภายในครอบครัว ซึ่งจะได้ประโยชน์ที่หลากหลายทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพียงแต่รัฐหาพันธุ์ไก่ เมล็ดพืช และเผยแพร่วิชาการเลี้ยงที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ หรือให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละครัวเรือน

 ซึ่งวิธีการแก้ไขดังกล่าวนั้นเป็นวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่เคยทำกันมา แต่พอมาถึงโลกยุคใหม่ รัฐเองนั่นแหละที่ไปทำให้ประชาชนเปลี่ยนวิถีชีวิตดังกล่าวไป ยิ่งเมื่อครั้งที่มีโรคไข้หวัดนกระบาดในสัตว์ปีก รัฐในสมัยนั้นกลับเร่งให้คนไทยหันไปพึ่งพาอาศัยระบบธุรกิจจากฟาร์มใหญ่มากขึ้น การพึ่งพาตนเองด้วยวิถีชีวิตพอเพียงจึงน้อยลงไปเรื่อยๆ

 ทุกวันนี้ผมเองอาศัยอยู่ในบ้านที่มีลักษณะกึ่งห้องแถว แต่ก็ยังพยายามหากาละมังเก่าๆ และกระถางมาปลูกพริก, โหระพา, ตะไคร้ และกะเพราไว้พอได้อาศัย แถมยังเลี้ยงไก่ในกรงได้อีกถึงสิบตัว ซึ่งได้ไข่มากพอถึงขั้นกินไม่ทันต้องเอาใส่ตะกร้าไปแจกพรรคพวกในวงการยานยนต์อยู่เสมอๆ  

 ทางแก้ปัญหาราคาไข่ไก่ที่รัฐบาลจัดทำขึ้นในขณะนี้  ผมจึงเห็นว่าเป็นการสร้างภาระให้ตนเอง แบบที่พูดกันว่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เกิดเรื่องเปล่าๆ และจะทำให้อดีตนายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ ปราโมทย์ ชูทับทิม มีเวลาไปนั่งเล่นหมากรุกในตลาดแปดริ้วน้อยลง จนเกิดอาการหงุดหงิดเท่านั้นละครับ

พัฒนเดช  อาสาสรรพกิจ