
ความใกล้ชิดพิชิตภัยทีวี
"โทรทัศน์" สื่อภาพเคลื่อนไหวที่เป็นเสมือนดาบสองคมในคราเดียวกัน ทั้งมีคุณประโยชน์และโทษมหันต์หากเลือกบริโภคไม่เป็น ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถก เพราะแต่ละกรณีปัญหาเกิดจากสื่อประเภทนี้ล้วนมีให้เห็นอยู่ร่ำไป ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมักจะตกอยู่ที่
จากกรณีดังกล่าว เว็บไซต์ Momypedia.com ในเครือรักลูกกรุ๊ปจึงพูดคุยกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นอย่าง นพ.จอม ชุมช่วย ถึงแนวทางป้องกันและการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยคุณหมอแนะนำว่าไม่ควรให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปีดูโทรทัศน์ เพราะโทรทัศน์ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากเด็กจะจดจำในสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ เมื่อลูกอายุมากกว่า 2 ขวบ สามารถให้ดูโทรทัศน์ได้แต่ต้องตระหนักว่า เด็กวัยนี้เป็นวัยเลียนแบบดังนั้นรายการที่ให้ลูกดูควรเป็นรายการที่ผลิตสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
"ละครโทรทัศน์หลังข่าวแน่นอนว่าไม่ได้ผลิตขึ้นมาสำหรับเด็ก เพราะฉะนั้นจะมีฉากรุนแรง ฆ่ากัน ด่ากัน ตบตีกัน ซึ่งไม่ควรให้เด็กเล็กดู เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วเด็กสามารถจดจำภาพนั้นไว้ อาจจะไปเล่นเลียนแบบได้ อย่างในกรณีของเด็ก 6 ขวบที่ผูกคอตายเลียนแบบละคร เข้าใจว่าเป็นการเล่นเลียนแบบแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น เพราะเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้ว่าทำอย่างนี้แล้วผลมันจะเป็นอย่างไร ตายจริงๆ เป็นอย่างไร ไม่ฟื้นอีกแล้วนะ ผมคิดว่าถ้าจะให้เด็กดูละครโทรทัศน์ได้ก็ตอนเป็นวัยรุ่นขึ้นไป ซึ่งจริงๆ ตอนนี้รายการโทรทัศน์เขาก็มีกำหนดเรตติ้ง คุณพ่อคุณแม่สามารถสกรีนจากเรตติ้งตรงนี้ได้ในระดับหนึ่ง” จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นชี้แนะ
ส่วนรายการโทรทัศน์ที่ผลิตสำหรับเด็ก เช่น ละครหรือรายการสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวหรือเกี่ยวกับสัตว์ เป็นสิ่งที่เด็กจับต้องได้คุณพ่อคุณแม่สามารถอนุญาตให้ลูกดูได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ คุณพ่อคุณแม่ควรดูละครเหล่านั้นพร้อมกับลูก เพื่อจะได้คอยพูดคุยถามทัศนคติของลูกและให้คำแนะนำไปพร้อมๆ กัน
"การพูดคุยและถามทัศนคติของลูกว่าเรื่องนี้ลูกคิดอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญมาก พ่อแม่อาจจะแนะนำลูกว่านี้เป็นเรื่องสมมตินะลูก ชีวิตจริงเราจะไม่ทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่ใช่ลักษณะสอนอย่างเดียวแต่เป็นการพูดคุยกับธรรมดา ถ้าหากรายการสนุกเราก็สนุกไปกับลูก การพูดคุยนอกจากจะช่วยให้ลูกเข้าใจความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์สมมติกับความเป็นจริงแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย" นพ.จอม กล่าว
ได้คำแนะนำจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว ถึงคราวของเหล่าเซเลบริตี้ที่มีลูกเล็กกันบ้าง ลองมาฟังทัศนะของพวกเขากันดีกว่าว่า แต่ละครอบครัวมีวิธีการใช้สื่อโทรทัศน์กับลูกน้อยอย่างไงบ้าง เริ่มต้นด้วยคุณแม่ลูกสอง "นิกกี้" ปณิธี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เผยว่า ตอนนี้ลูกชายคนเล็กคือน้องน้ำหนึ่งวัย 2 ขวบเศษ กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังมีพฤติกรรมลอกเลียนแบบอยู่พอดี เขาจะเลียนแบบการกระทำของพี่ชายคือน้องต้นน้ำวัย 4 ขวบแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าเห็นพี่ชายทำอะไรก็มักจะทำตามอยู่เสมอ
"ตอนนี้ลูกๆ กำลังอยู่ในช่วงเลียนแบบพฤติกรรมที่เห็นจากคนรอบข้างโดยเฉพาะพี่ชาย แต่ในเรื่องของทีวีหรือละครนิกกี้จะไม่ให้ลูกดูเลย นิกกี้จะค่อนข้างดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งกำชับพี่เลี้ยงด้วยว่าห้ามเปิดให้เด็กๆ ดูเด็ดขาด ละครสมัยนี้จะใช้คำหยาบเยอะนิกกี้ไม่อยากให้เด็กได้ยินกลัวแกจะพูดตามหรือเลียนแบบอะไรที่ไม่ดีจากทีวี นิกกี้จะอนุญาตให้ลูกๆ ดูได้แต่ดีวีดีเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกที่เป็นสื่อการสอนที่สอดแทรกมาในรูปของการ์ตูนอย่างมิกกี้เมาส์, วินนี่ เดอะ พูล, ไอสไตล์ เป็นต้น และเวลาดูนิกกี้ก็จะนั่งดูพร้อมกับเด็กๆ ด้วย บางครั้งเขาถามโน่นถามนี่จะได้อธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างถูกต้อง" คุณแม่ลูกสองเผย
อีกหนึ่งคุณแม่ที่ต้องควบคุมการดูโทรทัศน์ของลูกฝาแฝด "บิ๋ง" นันทมาลี ภิรมย์ภักดี เผยว่า สามีเป็นคนที่ชื่นชอบละครมาก ภายในบ้านจึงมีห้องโทรทัศน์หลายห้อง แต่สำหรับลูกๆ จะไม่ให้ดูละครโทรทัศน์เนื่องจากละครถูกสร้างมาเพื่อผู้ใหญ่ มีฉากตบตี กรีดร้อง การแสดงความอิจฉา บางครั้งตัวแสดงไม่มีความชัดเจนในเรื่องของเพศ ซึ่งอาจจะทำให้เด็กสับสนยิ่งมีลูก 2 เพศพร้อมๆ กันจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เด็กๆ ซึมซับและเลียนแบบได้ ถ้าเป็นการ์ตูนจะไม่ห้ามเพราะเป็นการสร้างจินตนาการของพวกเขา แต่ก่อนที่จะให้ลูกๆ ดูการ์ตูนจะต้องผ่านการคัดสรรมาแล้วในระดับหนึ่งด้วย
"ที่บอกว่าต้องคัดสรร เพราะการ์ตูนเก่าๆ อาจจะมีฉากตัวการ์ตูนสูบบุหรี่บ้าง ดื่มเหล้าบ้าง ถ้ามีอะไรแบบนั้นบิ๋งจะไม่ให้ลูกดู เพราะรู้สึกว่าเป็นการ์ตูนที่ไม่เหมาะกับวัยของเขา อย่างทุกวันนี้เขาจะชอบดูการ์ตูนเน็ตเวิร์กเรื่องทอมแอนด์เจอร์รี่ ในการ์ตูนจะมีฉากทุบตีกันบิ๋งก็สังเกตว่าบางครั้งลูกชายน้องเจมม์ก็มาแกล้งน้องบีมลูกสาว เอาของเล่นมาตีๆ หัวน้อง ตรงนี้เราจะสอนเขาว่าห้ามทำถ้าทำเมื่อไรจะโดนทำโทษ อย่างตอนนี้เขาอายุ 4 ขวบ น้องเจมม์เริ่มชอบซูเปอร์ฮีโร่อย่างแบทแมน เราก็จะคอยสอบเขาตลอดว่า ที่เขาบินได้ เพราะเป็นการ์ตูนแต่เราไม่สามารถบินได้ เวลาที่เขาดูการ์ตูนถ้าทำได้บิ๋งจะไปนั่งดูกับเขาด้วย" คุณแม่ลูกแฝดแจง
เพราะภายในบ้านมีสามีที่ชื่นชอบละครโทรทัศน์ แม้บางครั้งลูกๆ จะต้องการเข้าไปหาคุณพ่อขณะดูละคร หากเปลี่ยนช่องไม่ทันเธอจะใช้มือปิดตาลูก แต่ถ้าสามีไม่ยอมเปลี่ยนช่องเธอจะคอยบอกลูกว่าอย่าทำตามในละครเด็ดขาด เพราะบางครั้งไม่จำเป็นต้องดูละครในครอบครัวก็มีเรื่องดราม่าจากลูกทั้งสองคนให้เห็นเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องการทะเลาะแย้งของกัน สำหรับเธอแล้วคิดว่าการดูละครโทรทัศน์ของเด็กๆ น่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น ที่พอจะตัดสินใจและแยกแยะได้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
ด้านคุณแม่ลูกสอง "กู๊ด" ดร.สิริสุมาลย์ ลายถมยา ซึ่งนอกจากนั่งในตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนชื่อดังแล้ว ล่าสุดยังรับหน้าเสื่อเป็น นายกสโมสรซอนต้า กรุงเทพฯ 7 ด้วย กระนั้นเมื่อเอ่ยถามถึงกระแสดาบสองคมจากรายการทีวีที่เด็กลอกเลียนแบบจนนำซึ่งเหตุการสลดใจ ว่า "น้องไนซ์" วิภาสิรินันทน์ ลายถมยา ลูกสาวในวัย 4 ขวบของเธอก็มีพฤติกรรมนี้เลียนแบบต่างกันโดยเฉพาะการอยากเป็นเจ้าหญิงในเทพนิยาย หรือที่แปลกหน่อยก็การ์ตูนเบนเท็น ทว่าทั้งตัวเองและทุกคนในครอบครัว ซึ่งล้วนมีอาชีพเป็นครู จึงค่อนข้างเข้าใจเด็กและรู้จักเลือกวิธีการสอน
"ขั้นแรกก่อนที่กู๊ดจะปล่อยให้ลูกๆ ดูทีวีตามลำพัง ก็จะเช็กที่เรตติ้งของรายการก่อนว่าเหมาะกับวัยของเด็กๆ หรือไม่ เพราะอย่างน้อยเหมือนกับว่า เขาช่วยคัดกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างเรา ซึ่งหากนั่งมีเวลาส่วนใหญ่ก็จะเลือกดูอยู่ด้วยกันแล้วค่อยๆ สอนลูก โดยการยกตัวอย่างให้เห็นว่าอะไรที่อาจจะไม่ดี หรืออะไรที่ดี ซึ่งสไตล์การเลี้ยงลูกของกู๊ดจะเน้นปลูกฝังเรื่องจิตใจ ความเมตตาให้มีความเอื้ออารีย์ต่อผู้อื่น มองลูกให้เชิงบวกเชิงสร้างสรรค์" คุณแม่นักบริหารกล่าว
สำหรับในกรณีข่าวไม่ดีที่เกิดขึ้นมานั้น คุณแม่ยังสาวได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า น้องอาจจะไม่ได้ตั้งอีกทั้งอาจจะไม่ได้อินกับละครก็ได้ แต่คงแค่เลียนแบบและเกิดอุบัติเหตุพลาดพลั้งขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นจึงอยากฝากไปถึงผู้ต้องมีหน้าที่คอยดูคอยกำชับ ซึ่งก็คือ ผู้ปกครองในบ้าน ว่าต้องสอนให้เด็กมีทักษะในชีวิต และพยายามหาเวลาคอยตอบคำถามอย่างไม่รู้สึกรำคาญ โดยเฉพาะสอนพวกเขารู้ว่า สิ่งที่ดูอยู่นั้นเป็นแค่นิทานเป็นแค่ละครไม่ใช่ความจริง เพื่อให้ลูกๆ มีทัศนคติที่ดี