
เขมรขู่ม็อบไทยขึ้นพระวิหารล้ำยิงมอบไทยคุมเอง
กัมพูชาให้ไทยคุมผู้ชุมนุมที่จะขึ้นไปบนปราสาทพระวิหาร เตือนพร้อมใช้กำลังสกัดผู้รุกล้ำชายแดน บัวแก้วชี้หมุดที่เคลื่อนย้ายเป็นหมุดดาวเทียม ไม่ใช่หมุดปักพรหมแดน
(7ก.ค.) หนังสือพิมพ์กัมปูเจีย ทเมย รายงานว่า ผู้บัญชาการทหารของไทยได้แจ้งกับผู้บัญชาการทหารของกัมพูชาว่า มีคนไทย 5,000 คนวางแผนเดินทางขึ้นไปยังปราสาทพระวิหารเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
พลเอกเจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารกัมพูชาและผู้บัญชาการกองกำลังพระวิหาร เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์กัมปูเจีย ทเมยว่า เขาได้เตือนทางการไทยแล้วให้ควบคุมผู้ชุมนุมในฝั่งพรมแดนไทยและย้ำว่ากัมพูชาจะไม่ทนนิ่งเฉยต่อผู้ประท้วงคนใดก็ตามที่รุกล้ำเข้าไปยังชายแดนกัมพูชา และเขาได้กำชับให้ผู้บัญชาการทั้งหลายทำทุกอย่างเพื่อปกป้องอธิปไตยของกัมพูชาและบูรณภาพทางดินแดนของประเทศ
นอกจากนี้ผู้บัญชาการกองกำลัง 3 บอกว่า หน่วยของเขาพร้อมปกป้องดินแดนกัมพูชาด้วยอาวุธ ไม่ใช่อุปกรณ์ปราบจลาจล และเตือนว่าหากผู้ชุมนุมของไทยข้ามเข้าไปในฝั่งกัมพูชา จะเกิดการปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กัมพูชาวางแผนฉลองวันครบรอบการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในวันนี้ และนายรง ชุน ประธานสหภาพแรงงานสมาคมครูอิสระแห่งกัมพูชา เตรียมจัดเดินขบวนในกรุงพนมเปญในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ ซึ่งถือว่าเป็นวันแห่งความโกรธแค้น เนื่องจากเป็นวันที่ทหารไทยได้เคลื่อนกำลังเข้าไปในเขตวัดแก้วสิขาคีรีสวรักษ์ ใกล้กับปราสาทพระวิหาร เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร และกัมพูชามองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการรุกราน
ขณะที่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรของไทย กล่าวถึงกรณีที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขตปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ว่า ทางกมธ. ได้เชิญผู้แทนจากกรมแผนที่ทหาร ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศ และผู้แทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าชึ้แจง และได้ข้อสรุปว่า ขณะนี้ยังไม่มีการสูญเสียดินแดนของไทยให้กับประเทศกัมพูชา เนื่องจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามีการเคลื่อนหลักเขตแดนซึ่งระบุว่าเป็นเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่เป็นเพียงการเข้าใจผิด
ซึ่งกรมแผนที่ทหารได้แก้ไขชื่อแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2552 เป็นหมุดขยายโครงข่าย ซึ่งเป็นแผ่นซีเมนต์ขนาด 1 ฟุต เพี่อใช้เป็นจุดเชื่อมโยงสัญญาณจีพีเอสเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางกมธ.อยากให้ประชาชนทำความเข้าใจและแยกแยะระหว่างหลักเขตแดน กับหมุดขยายโครงข่ายว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย-กัมพูชา และขอย้ำว่ายังไม่มีการปักปันเขตแดนใหม่
บัวแก้วชี้หมุดที่เคลื่อนย้ายเป็นหมุดดาวเทียม
ที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีข่าวการเคลื่อนย้ายหมุดหลักฐานของกรมแผนที่ทหาร ที่หัวเขื่อนห้วยเมฆา อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ว่า ตามที่มีข่าวว่าได้มีการค้นพบหมุดหลักฐาน หรือ ที่มีการเข้าใจว่าเป็น “หมุดปักพรมแดน” ที่บริเวณสันเขื่อนห้วยเมฆา อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในดินแดนไทยประมาณ 12 กิโลเมตรครึ่ง และอาจทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของหมุดหลักฐานดังกล่าว และสถานะล่าสุดของการดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ดังนี้
1. หมุดหลักฐานดังกล่าว ไม่ใช่หลักเขตแดนที่แสดงแนวแบ่งเขตระหว่างไทย - กัมพูชา แต่เป็นหมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ที่ใช้งานทางเทคนิค ซึ่งกรมแผนที่ทหารสร้างขึ้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2550 เพื่อใช้เป็นหมุดขยายโครงข่าย GPS สำหรับเป็นค่าพิกัดอ้างอิงในการถ่ายทอดค่าพิกัดให้กับหลักเขตแดนไทย - กัมพูชา หมายเลข 25 และ 26 โดยหมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ดังกล่าวสร้างในฝั่งไทย 1 หมุด สร้างในฝั่งกัมพูชา 1 หมุด และอยู่ห่างจากแนวเขตแดนประมาณ 7 - 8 กิโลเมตร สาเหตุที่ใช้ข้อความว่า “เขตแดนไทย - กัมพูชา”นั้น ในทางเทคนิคมีจุดประสงค์เพื่อต้องการสื่อความหมายว่าหมุดนี้เป็นหมุดขยายโครงข่าย GPS ในงานเขตแดนไทย - กัมพูชา ทั้งนี้เพราะว่าที่หมุดดังกล่าวจะมีหมุดทองเหลืองฝังอยู่ตรงกลางซึ่งมีข้อความว่า GPS กรมแผนที่ทหาร อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อมิให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิดว่าจุดนี้เป็นแนวเขตแดนไทย - กัมพูชา กรมแผนที่ทหาร จึงได้ดำเนินการเปลี่ยนข้อความบนหมุดดังกล่าวจากเขตแดนไทย - กัมพูชา เป็น “หมุดขยายโครงข่าย” เมื่อกันยายน 2552 ซึ่งในวันที่ 22 มกราคม 2553 และ 20 มิถุนายน 2553 กรมแผนที่ทหารได้ชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนและส่วนราชการในพื้นที่ทราบว่า หมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ไม่ใช่หลักเขตแดนไทย - กัมพูชา แต่อย่างใด
2. การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนด้านไทย - ลาว และไทย - มาเลเซีย ก็ได้มีการสร้างหมุดหลักฐานขยายโครงข่าย GPS เพื่อใช้เป็นค่าพิกัดอ้างอิงเช่นเดียวกัน
3. หมุดหลักฐานขยายโครงข่าย GPS มีขนาดประมาณ 30 X 30 เซนติเมตร จะสร้างเสมอพื้นดิน ซึ่งมีขนาด รูปร่าง และลักษณะการสร้างที่แตกต่างจากหลักเขตแดนไทย - กัมพูชา โดยสิ้นเชิง ซึ่งมีขนาด 40 X 40 เซนติเมตร สูงเหนือพื้นดินประมาณ 1 เมตร อนึ่ง หากเป็นหลักเขตแดนซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงสร้างขึ้นมา ฝ่ายไทยย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแต่ฝ่ายเดียวได้
4. การดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ดำเนินการไปตามข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ และแผนแม่บทในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา (Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary : TOR) ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ซึ่งได้กำหนดขั้นตอนต่าง ๆ สำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การค้นหาที่ตั้งและสภาพของหลักเขตแดนเดิม 73 หลัก รวมถึงการซ่อมแซมหลัก เขตแดนเดิม 2. การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) มาตราส่วน 1/25,000 ตลอดแนวเขตแดน 3. การลากแนวที่จะเดินสำรวจบนแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 4. การตรวจสอบภูมิประเทศ 5. การปักหลักเขตแดน
5. ปัจจุบัน งานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา 3 ครั้งที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการในขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น กล่าวคือ การค้นหาที่ตั้งของหลักเขตแดนเดิม 73 หลัก จึงมิได้มีการขยับหลักเขตแดนตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด การที่จะทราบว่าตำแหน่งหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งหมดจะอยู่ที่ใดอย่างแน่นอนนั้น จะต้องรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา ดำเนินการครบ 5 ขั้นตอนก่อน
6. เมื่อครบ 5 ขั้นตอนแล้ว ผลงานของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ก็ยังไม่มีผลผูกพันประเทศทั้งสอง เจ้าหน้าที่ต้องนำผลการสำรวจปักหลักเขตแดนเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณานำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ต่อไป เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว รัฐบาลไทยจะต้องให้สัตยาบันข้อตกลงดังกล่าวเป็นทางการ การสำรวจและปักหลักเขตแดนจึงมีผลทางกฎหมาย