ข่าว

หนูหริ่งกับโลกแห่งความสบายภายใต้ความกลัว

หนูหริ่งกับโลกแห่งความสบายภายใต้ความกลัว

06 ก.ค. 2553

ความจริงตั้งใจจะเขียนเรื่องพี่หนูหริ่งมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเขียนถึงสักที และยิ่งเขียนถึงพี่หนูหริ่งช้าลงเท่าไหร่ ก็ย่อมหมายถึงว่าเสรีภาพของพี่หนูหริ่งก็ถูกจำกัดมากขึ้นและต่อให้เมื่อคอลัมน์นี้ตีพิมพ์แล้วพี่หนูหริ่งถูกปล่อยตัว เราก็คงจะต้องจดจำเรื่องราวค

ที่สำคัญก็คือการที่เราเพิกเฉยต่อพี่หนูหริ่งนั้นย่อมหมายถึงการที่เรารู้สึกว่าเสรีภาพไม่ใช่เรื่องที่สำคัญในการมีชีวิต โดยเฉพาะการมีชีวิตในปริมณฑลมากขึ้นเท่านั้น

 ผมไม่รู้จักพี่หนูหริ่งเป็นการส่วนตัว แต่ชื่นชมเพราะชื่อแกน่ารักดี ว่าง่ายๆ ว่าถ้ามีการรณรงค์ให้ปล่อยพี่หนูหริ่ง ผมว่าคนส่วนมากก็คงจะรู้สึกเอ็นดูไปด้วย

 แต่ถ้าเรียกพี่หนูหริ่งว่า บก.ลายจุด คนก็อาจจะงงๆ แล้ว ยิ่งถ้าเรียกว่านายสมบัติ บุญงามอนงค์เนี่ย ก็คงจะมีคนไม่ชอบใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพี่หนูหริ่งเป็นแกนนำต่อต้านรัฐประหารมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ โดนจับสมัยที่มีการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ขณะไปรณรงค์ที่เชียงรายก็เคย

 ล่าสุดนี้ก็โดนจับไปกักขังเอาไว้ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลากยาวเป็นสัปดาห์ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการปล่อยตัว

 ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่า พี่หนูหริ่งแกไม่ใช่แกนนำเสื้อแดง ในความหมายแคบๆ คือเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าเน้นการใช้ความรุนแรงในการเคลื่อนไหวและมีสายสัมพันธ์กับทักษิณ พี่หนูหริ่งแกแดงในแบบของแก แกมีหลักการของการต้านรัฐประหารเป็นที่ตั้ง และแกก็เป็นเอ็นจีโอที่มีคุณูปการในสังคมไทยโดยเฉพาะในเรื่องของการช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากที่ภาคเหนือภายใต้มูลนิธิกระจกเงา และโดยส่วนตัวที่ผมเคารพเพราะแกเป็นแกนนำรุ่นแรกๆ ในอินเทอร์เน็ตที่ออกมาต่อสู้ในเรื่องของการไม่ใช้เสรีภาพเกินขอบเขตในอินเทอร์เน็ต

 โดยเฉพาะเมื่อแกต่อสู้เรื่องไม่ให้มีการใช้อินเทอร์เน็ตไปในเรื่องลามก ซึ่งใครที่เป็นพลเมืองเน็ตในยุคเว็บใต้ดินก่อนที่เรื่องอินเทอร์เน็ตจะเป็นเรื่องการเมืองแบบวันนี้ก็คงจะจำมหาสงครามระหว่าง บก.ลายจุด กับ เว็บหลุดโลกได้ (คือผมไม่ได้เห็นด้วยกับพี่หนูหริ่งหรอกครับ แต่ว่าพี่เขาชัดเจนในจุดยืนของเขาและต่อสู้เพื่อคนจำนวนไม่น้อยเพื่อทำให้เห็นว่าเสรีภาพกับการละเมิดคนอื่นนั้นมันจะมีเส้นแบ่งอย่างไร)

 ในอีกด้านหนึ่งผมก็อึดอัดกับบรรยากาศของการเคลื่อนไหวให้มีการปล่อยตัวพี่หนูหริ่งด้วยการประณามรัฐ โดยเฉพาะการกล่าวหารัฐว่าเป็นเผด็จการ (ทั้งที่ผมเห็นด้วยกับการประณามเหล่านั้นทุกประการ) และการสั่งให้ปล่อยตัวพี่หนูหริ่งโดยทันที เพราะการประณามดังกล่าวนั้นไม่ได้ช่วยให้เราสื่อสารกับแนวร่วมของรัฐที่ปล่อยและเพิกเฉยให้พี่หนูหริ่งถูกจำกัดเสรีภาพแต่อย่างใด

 นั่นหมายความว่าก้าวแรกของการอยู่ด้วยกันของคนที่เห็นต่างกันนั้น น่าจะเริ่มที่การเข้าใจและเห็นใจว่าชีวิตและเสรีภาพของคนแต่ละคนนั้นสำคัญ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงเป็นภัยกับประเทศเสมอไป บ้านเมืองมีกฎหมายอยู่แล้ว ก็ต้องใช้กฎหมายปรกติที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปรกติ อย่ามองว่ากฎหมายฉุกเฉินเท่านั้นคือกฎหมาย และถ้ากฎหมายปรกติทำงานไม่ได้ ก็ต้องตรวจสอบว่าสาเหตุอยู่ตรงไหน ไม่ใช่มองง่ายๆ ว่าสาเหตุมาจากคนไม่กลัวกฎหมายเท่านั้น อาทิ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำงาน ก็จัดการเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่เพิ่มโทษ และพรากเสรีภาพ

 กรณีพี่หนูหริ่ง เราก็เห็นอยู่แล้วว่าถ้าสมมติว่าพี่หนูหริ่งแกมีความผิด ถามว่ากฎหมายปรกติจัดการตรวจสอบแกได้ไหม แล้วก็คุ้มครองให้แกมีสิทธิในการต่อสู้ไหม คำตอบก็คือมี แต่ทำไมไม่ใช้ หรือไม่รู้สึกว่าต้องใช้ ใช้กฎหมายที่ทำให้ผู้ใช้มีอำนาจมากกว่ากฎหมายปรกติที่คุ้มครองทุกฝ่าย และมีรากฐานประชาธิปไตยมากกว่านี้ไม่ได้หรือ?

 การสื่อสารกับแนวร่วมของรัฐไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ พูดตรงๆ ก็คือคอลัมน์ของผมวันนี้ก็คงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญตัวหนึ่ง ว่าคนที่เห็นต่างจากผมจะรับผมได้ไหม จะรับพี่หนูหริ่งได้ไหม มิพักต้องอ้างอิงความผิดในกรณีอื่นๆ ของขบวนการอื่นๆ ที่ทำไมไม่โดนเหมือนที่พี่หนูหริ่งโดน (ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วยกับกฎหมายพิเศษ แต่หมายถึงความเท่ากันในการใช้กฎหมายน่ะมีไหม)

 อย่าให้ความกลัวของคุณทำลายเสรีภาพของคนอื่นเลยครับ