
เรื่องของ "น้ำหอม"
ผู้หญิงสมัยนี้ใช้น้ำหอมกันเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะแพงสักแค่ไหน หากมีกลิ่นหอมถูกใจละก็... เป็นต้องขวนขวายซื้อมาใช้สักขวด ก่อนที่จะเป็นน้ำหอมอย่างในทุกวันนี้ รู้ไหมว่า... น้ำหอมมีประวัติมายาวนานแค่ไหน และมีที่มาอย่างไร น่าสนนะคะ ตามกันเข้ามาเล้ย
��คำว่า 'น้ำหอม' หรือ 'Perfume' มาจากภาษาละตินที่แปลว่า 'ผ่านมาตามควัน' เพราะแต่เดิมนั้น น้ำหอมถือกำเนิดขึ้น เพื่อใช้โรยบนซากสัตว์ที่ใช้บูชาเทพเจ้า เพื่อดับกลิ่นคาว ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นหอมในรูปของควัน ได้กลายเป็นของบูชาเสียเอง โดยระหว่างการบูชาเทพเจ้า ได้มีการเผายางไม้หอม เช่น กำยาน อบเชย เพื่อแสดงความเคารพสูงสุดต่อเทพเจ้า หลังจากนั้น ราว 6,000 ปีก่อน ในดินแดนแถบตะวันออกไกล และตะวันออกกลางได้มีการเปลี่ยนจากเครื่องหอมกลิ่นแรง เพื่อ 'กลบกลิ่น' มาเป็นเครื่องหอมกลิ่นอ่อน ที่ทำจากผลไม้ และดอกไม้ เพื่อใช้ชโลมร่างกาย มีหลักฐานว่า ในราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวซูเมเรียน และชาวอียิปต์นิยมชโลมร่างกายด้วยน้ำมัน และแอลกอฮอล์ที่ทำด้วยดอกมะลิ ไอริส และไฮยาซินธ์�
�ส่วนยุคเฟื่องฟูเริ่มขึ้นที่อียิปต์ ผู้หญิงอียิปต์นิยมใช้น้ำหอมต่างชนิด ทาแต่ละส่วนของร่างกาย แล้วน้ำหอมก็แพร่สะพัดไปถึงประเทศกรีก มีการใช้น้ำหอมกันอย่างฟุ่มเฟือย ทั้งชโลมตัว เสื้อผ้า บ้านเรือน รวมถึงสถานที่สาธารณะ อาทิ โรงละคร เป็นต้น� และจากกรีกน้ำหอมก็เดินทางไปสู่กรุงโรม โดยกลุ่มทหารโรมันที่ยกพลไปบุกยุโรปนั่นแหละ...และเมื่อจักรวรรดิโรมันมีชัย ก็นำเอาน้ำหอมมาเผยแพร่ พร้อมกับพัฒนาน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ ที่ได้วัตถุดิบจากดินแดนนั้นพิ่มเติมเข้าไปอีก
�เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลาย และคริสต์ศาสนาเริ่มมีอิทธิพลต่อผู้คนในยุโรป นักบวชในศาสนาคริสต์ได้ประกาศห้ามชาวคริสต์ 'ไม่ให้ใช้น้ำหอม' เพราะถือว่าเป็นการแสดงถึงความลุ่มหลงในโลกียวิสัย น้ำหอมในยุคนั้น จึงถูกผลิตขึ้นเฉพาะในดินแดนแถบตะวันออกไกล และตะวันออกกลางเท่านั้น� จนในคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 เมื่อชาวยุโรปไปทำสงครามครูเสด ได้มีผู้นำน้ำหอมกลับมาจากดินแดนตะวันออกกลาง ทำให้กระแสความคลั่งไคล้น้ำหอมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ชาวยุโรปได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาน้ำหอม ให้ติดทนนาน และมีกลิ่นหอม จนได้น้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ มากมายในปัจจุบัน และประเทศที่มีชื่อเสียงด้านน้ำหอมมากที่สุด ก็คงไม่พ้นประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
�