ข่าว

"ฝรั่งเศส"พ่าย0-2-"ฟ้าขาว"ซัด4-1

"ฝรั่งเศส"พ่าย0-2-"ฟ้าขาว"ซัด4-1

18 มิ.ย. 2553

ตราไก่"ฝรั่งเศส"พ่าย"จังโก้"เม็กซิโก 0-2 ส่อตกรอบแรกฟุตบอลโลก 2010 ด้าน กอนซาโล อิกัวอิน ซัดแฮตทริกให้"ฟ้าขาว"อาร์เจนตินา ถล่ม "โสมขาว" เกาหลีใต้ 4-1 ขณะที่กรีซ กลับมามีลุ้นหลังแซงชนะ ไนจีเรีย 2-1

ศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบแรก เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน กลุ่ม เอ "ตราไก่" ฝรั่งเศส รองแชมป์เก่า ลงสนามรอบแรก นัดที่ 2 กับ "จังโก้" เม็กซิโก โดยเกมนี้ เรย์มงด์ โดเมเนช ยอมถอด โยฮัน กูร์กูฟฟ์ ตัวทำเกมออกจากทีมตัวจริง และส่ง ฟลอรองต์ มาลูดา ลงสนามเป็นตัวจริง ขณะที่ "จังโก้" เม็กซิโก ยังคงไว้ใจ กีเยร์โม ฟรังโก ยืนเป็นหัวหอก พร้อมกับ 2 ดาวรุ่งอย่าง คาร์ลอส เบลา กับ คาร์ลอส เบลา เหมือนในเกมนัดแรก

 เกมในครึ่งแรก ฝรั่งเศส พยายามเปิดเกมรุกเต็มที่ แต่ทำอะไรไม่ถนัด เนื่องจาก เม็กซิโก ก็ไม่ได้ตั้งรับเท่าไรนัก เพียงแต่เกมรุกของฝรั่งศส ไม่มีความน่ากลัว และไม่กดดันเท่าไรนัก จบครึ่งแรกจึงเสมอกันอยู่ 0-0

 ครึ่งหลังรูปเกมทั้งคู่ยังเหมือนเดิมและเกมทำท่าจะเสมอ แต่แล้วแผงแบ็กโฟร์ฝรั่งเศสเช็กล้ำหน้าพลาด ทำให้ฮาเบียร์ เฮอร์นันเดซ ดาวยิงตัวสำรอง ที่เพิ่งเปลี่ยนตัวลงมา 8 นาที หลุดไปดวลเดี่ยวกับ อูโก ยอริส นายทวาร"ตราไก่"และดาวยิงวัย 22 ปีผู้นี้ ยิงไม่พลาดทำให้ เม็กซิ โก ขึ้นนำ 1-0 นาที 63  และนาทีที่ 79 เม็กซิโก มาได้จุดโทษ เคาห์เตมอค บลังโก สังหารจุดโทษทำให้ จังโก้ ชนะ 2-0 โอกาสเข้ารอบสูง

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

ฝรั่งเศส - อูโก ยอริส, บาคาร ซาญา, วิลเลียม กัลลาส, เอริก อบิดัล, ปาทริก เอวรา, เฌเรมี ตูลาลอง, อาบู ดิยาบี, ซิดนีย์ โกวู, ฟลอรองต์ มาลูดา, ฟรองก์ ริเบรี, นิโกลา อเนลกา

เม็กซิโก - ออสการ์ เปเรซ, เอคตอร์ โมเรานา, ริคาร์โด โอโซริโอ, ฟรานซิสโก โรดริเกซ, คาร์ลอส ซัลซิโด, เอฟราอิน ฮัวเรส, ราฟาเอล มาร์เกซ์, เกราร์โด ทอร์ราโด, โจวานนี ดอส ซานโตส, กีเยร์โม ฟรังโก, คาร์ลอส เบลา

 ด้าน "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา ลงสนามพบ"โสมขาว" เกาหลีใต้ ในกลุ่ม บี ที่โยฮันเนสเบิร์ก เกมนี้ อาร์เจนตินา เปลี่ยนผู้เล่นจากนัดแรกแค่ตำแหน่งเดียว ด้วยการส่ง มักซี โรดริเกซ ลงมาแทน ฮวน เซบาสเตียน เวรอน ขณะที่ เกาหลีใต้ ใช้ โอห์ บอม ซอค ลงมาเน้นเกมรับแทนที่ ชา ดู รี ในตำแหน่งแบ็กขวา

 เริ่มเกมได้ 16 นาที อาร์เจนตินา ที่พับสนามบุกตั้งแต่ต้นได้ประตูออกนำไปก่อนจากลูกฟรีคิกทางซ้าย ลิโอเนล เมสซี เปิดไปหน้าประตู มาร์ติน เดมิเชลิส ขึ้นโหม่งวืด แต่บอลเลยไปโดนหน้าแข้ง ปาร์ค ชู ยัง เข้าประตูตัวเองเป็น 1-0 ทำให้ ฟ้าขาว คุมเกมเหนือกว่าชัดเจนนาทีที่ 33 ก็ได้ประตูที่ 2 จากลูกฟรีคิกสั้น มักซี โรดริเกซ เปิดบอลเข้าเขตโทษ นิโคลัส บูร์ดิสโซ โหม่งเช็ดไปเสาสอง กอนซาโล อิกัวอิน โหม่งลงพื้นเข้าไปเป็น 2-0 แต่แล้วช่วงทดเจ็บ เกาหลีใต้ มาตีไข่แตกได้หลังจาก เดมิเชลิส จับบอลพลาดถูก ลี ชุง ยอง ฉกบอลไปยิง จบครึ่งแรก อาร์เจนตินา นำ 2-1

 ครึ่งหลังนาทีที่ 58 เกาหลีใต้ หวุดหวิดจะตีเสมอได้เมื่อ ลี ชุง ยอง จ่ายทะลุให้ ยอม กี ฮุน หลุดไปยิงเดี่ยวๆทางขวาแต่ออกเสาแรกอย่างน่าเสียดาย จนนาทีที่ 78 อาร์เจนตินา มาได้ประตูหนีห่างเป็น 3-1 จนได้ หลังจาก เมสซี หลุดไปยิงจังหวะแรกติด จุง ซุง รยอง ก่อนจะซ้ำไปชนเสาและกลับมาเข้าทาง อิกัวอิน ซ้ำง่ายๆ เข้าไป และอีก 2 นาทีต่อมา ฟ้าขาว ได้ประตูปิดท้ายอีกประตู เซร์คิโอ อาเกโร ดีดบอลให้ อิกัวอิน โหม่งโล่งๆเป็นแฮตทริก และทำให้ อาร์เจนตินา ชนะขาดลอย 4-1 เก็บชัยชนะ 2 นัดรวด เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อาร์เจนตินา - เซร์คิโอ โรเมโร, กาเบรียล ไฮน์เซ, วอลเตอร์ ซามูเอล (นิโคลัส บูร์ดิสโซ น. 23), มาร์ติน เดมิเชลิส, โจนาส กูเตียร์เรซ, ฮาเวียร์ มาสเชราโน, อังเคล ดิมาเรีย, มักซี โรดริเกซ, คาร์ลอส เตเบซ (เซร์คิโอ อาเกโร น. 75), กอนซาโล อิกัวอิน (มาริโอ โบลัตติ น. 82), ลิโอเนล เมสซี

เกาหลีใต้ - จุง ซุง รยอง, โอห์ บอม ซอค, โช ยัง ฮุน, ลี ยอง เปียว, ลี จุง ซู, กี ซุง ยอง (คิม นัม อิล น. 46), ปาร์ค จี ซุง, คิม จุง วู, ลี ชุง ยอง, ยอม กี ฮุน, ปาร์ค ชู ยัง (ลี ดอง กุ๊ก น. 82)  

 อีกคู่ในกลุ่ม บี "อินทรีมรกต" ไนจีเรีย ลงเล่นที่บลูมฟอนเทน พบ กรีซ โดยเกมนี้หากว่าทีมใดแพ้โอกาสตกรอบสูงทันที ทำให้ทั้งสองทีมต่างก็ปรับเปลี่ยนผู้เล่น ทาง ลาร์ส ลาเกอร์บัค ของไนจีเรีย ส่ง โซตริส คีร์เกียกอส กับ โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส ลงสนามเป็นตัวจริง ขณะที่ ไนจีเรีย ปรับแนวหน้าให้ ปีเตอร์ โอเดมวินกี กับ คาลู อูเช ลงมา

 เริ่มเกมขึ้นมา ไนจีเรีย ครองบอลบุกได้เหนือกว่าเล็กน้อย จนนาทีที่ 17 มาได้ประตูขึ้นนำจากลูกฟรีคิกของ คาลู อูเช ที่เปิดไซด์เข้าเขตโทษ บอลไม่โดนผู้เล่น แต่เลยเข้าประตูเป็น 1-0 จากนั้น ไนจีเรีย ก็ยังเหนือกว่าแต่จุดเปลี่ยนของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 33 หลังจาก ซานี เคตา ไปยกเท้าถีบ วาซิลิส โทโรซิดิส จนโดนใบแดง และก่อนหมดครึ่งแรกนาทีเดียว กรีซ มาตีเสมอได้ ดิมิทริส ซัลปินจิดิส ยิงแฉลบกองหลังเข้าไปเป็นประตูแรกของ กรีซ ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย จบครึ่งแรกเสมอกันอยู่ 1-1  

 ครึ่งหลัง กรีซ ครองเกมได้เหนือกว่ามีโอกาสลุ้นประตูหลายครั้งโดยเฉพาะนาทีที่ 58 ฟานิส เกคาส ได้ยิงเหน่งๆ แต่ วินเซนต์ เอ็นเยียมา เซฟไว้ได้หวุดหวิด แต่นาทีต่อมา ไนจีเรีย เล่นเกมโต้กลับ ยาคูบู หลุดเดี่ยวไปยิงแต่ไปติดนายทวาร อเลกซานดรอส ซอร์วาส อย่างน่าเสียดาย จนนาทีที่ 71 กรีซ มาได้ประตูแซงนำ อเลกซานดรอส ซิโอลิส ยิงไกล เอ็นเยียมา ปัดออกมาไม่ดีถูก วาสซิลิส โทโรซิดิส ตามซ้ำเข้าไป จบเกม กรีซ ชนะ 2-1 แต่ทั้ง 2 ทีมยังคงมีลุ้นเข้ารอบ

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

กรีซ - อเลกซานดรอส ซอร์วาส, ลูคัส วินทรา, โซตริส คีร์เกียกอส, วาสซิลิส โทโรซิดิส, อเลกซานดรอส ซิโอลิส, อัฟราม ปาปาโดปูลอส, โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส, จอร์จอร์ คารากูนิส, คอสตาส คัตซูรานิส, ดิมิทริส ซัลปินจิดิส, ธีโอฟานิส เกคาส

ไนจีเรีย - วินเซนต์ เอ็นเยียมา, ชิดี โอเดียห์, แดนนี ชิตตู, โจเซฟ โยโบ, ตาย ไตโว, คาลู อูเช, ดิกสัน เอตูฮู, ฮารูนา ลุคแมน, ซานี เคตา, เอเยกเบนี ยาคูบู, ปีเตอร์ โอเดมวินกี

 ด้านคาร์ลอส อัลแบร์โต ปาร์ไรรา กุนซือบราซิเลียนของแอฟริกาใต้ ที่แพ้ อุรุกวัย 0-3 โดย ดิเอโก ฟอร์ลัน ได้จังหวะสับไกยิงจากระยะ 30 หลา นาทีที่ 23, จุดโทษของ หลุยส์ ซัวเรซ นาทีที่ 76 และ อัลบาโร เปไรรา มาโขกประตูปิดท้ายช่วงทดเจ็บ ออกมาโวยผู้ตัดสิน มัสซิโม บูซัคกา จากสวิตเซอร์แลนด์ จากการเป่าลูกจุดโทษพร้อมไล่ อิตูเมเลง คูเน นายทวารของทีมออกจากสนามในนาทีที่ 76 ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเกม และมองว่าจังหวะดังกล่าวน่าจะเป็นการพุ่งล้มของ หลุยส์ ซัวเรซ มากกว่า

 "เขาเป็นผู้ตัดสินที่แย่ที่สุดของการแข่งขัน ผมหวังว่าเราจะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกในเกมต่อๆ ไป เขาไม่สมควรจะมาที่นี่ด้วยซ้ำไป เขาเป็นผู้ตัดสินแห่งจุดโทษ เราเสียใจกับผลงานของผู้ตัดสิน มันเป็นการตัดสินที่แย่ที่สุดในทัวร์นาเมนต์ มันคาดไม่ถึงที่เรื่องแย่ๆ จะมาเริ่มกับทีมของพวกเรา นักเตะของพวกเราเซ็งกันมากๆ" ปาร์ไรรากล่าว

   ขณะที่ ออสการ์ ตาบาเรซ โค้ชของอุรุกวัย ออกมาบอกว่า ไม่อยากจะพูดถึงการตัดสินของผู้ตัดสิน แต่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของ ปาร์ไรรา แน่นอน เนื่องจากมองว่า อุรุกวัย ชนะเกมนี้ได้ไม่ใช่เพราะการตัดสินของผู้ตัดสิน แต่เป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างสมควรจากรูปเกมที่เหนือกว่า และแอฟริกาใต้ ก็ไม่ได้กดดันพวกเขาอย่างจริงจังเลย