
"สไนเปอร์"หลักสูตรซุ่มยิงสอน'ตำรวจ-ทหาร'ยันพลเรือน
ลูกกระสุนปริศนาที่แหวกม่านอากาศมาด้วยความเร็วสูงทะลุศีรษะ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก แม่นดังจับวางขณะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนส่วนใหญ่ลงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ต้องยิงมาจาก "พลซุ่มยิง" หรือ "สไนเปอ
พลันที่เสธ.แดงล้มลงหมดสติจากคมกระสุนปริศนาหน้าป้อมค่ายที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ช่วงหัวค่ำวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนสงสัยใคร่รู้ถึง "กลุ่มสไนเปอร์" ในเมืองไทย มีการฝึกอบรมอยู่ในหน่วยงานใดและเพื่อภารกิจใดบ้าง
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนรายหนึ่งบอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่าในเมืองไทยมีการฝึกอบรมหลักสูตรสไนเปอร์ ทั้งในหน่วยงานทหาร ตำรวจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ รวมถึงพลเรือนด้วย เพื่อใช้ในภารกิจทางราชการและเป็นกีฬาแข่งขัน
ทั้งนี้หลักสูตรสไนเปอร์ของตำรวจ จะใช้ในภารกิจยิงคุ้มกันเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง ส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรยิงในระยะสั้นแค่ 100-200 เมตร ถ้าเป็นของทหารในหลักสูตรเดียวกันจะมีระยะยิง 100-150 เมตรสำหรับภารกิจที่ใช้รบในเมือง และหลักสูตรการยิงระยะไกล 200-300 เมตรใช้ในการรบนอกเมืองหรือรบในป่า อย่างไรก็ตามการยิงระยะไกลหากนำมาใช้ปฏิบัติการในเมืองจะมีปัญหาเรื่องการถอนกำลัง
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนบอกด้วยว่า หลักสูตรสไนเปอร์มี 2 หลักสูตร คือ การอบรมระยะสั้นๆ 5-6 วัน และหลักสูตรอบรม 3 เดือน โดยหลักสูตรระยะสั้นจะเรียนรู้เรื่องพื้นฐานของอาวุธปืน ประกอบด้วย ตัวปืน กล้องเล็ง และกระสุน เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ด้วยว่าการยิงสไนเปอร์มีวิถีการยิงเป็นอย่างไร ต้องมีการคำนวณทิศทางลม แสงแดด ระยะทาง มุม หรือร่องตึก
"หลักสูตรระยะสั้นจะสอนแท็กติก หรือเทคนิคการยิงพื้นฐาน ผู้เรียนต้องไปฝึกฝนต่อ ส่วนการคิดคะแนนว่าผ่านการอบรมหรือไม่จะคิดจากการยิงเป้าวงกลมและเป้าแผ่นเหล็ก ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมสไนเปอร์ที่ผ่านมามีเปอร์เซ็นต์ไปต่อได้ แต่ต้องไปฝึกฝนเพิ่มเติม สนามฝึกยิงสไนเปอร์ในเมืองไทยมีอยู่หลายแห่ง แต่สนามที่มีพื้นที่ในการยิงระยะไกล 800-1,000 เมตร จะเป็นสนามของทหารเรือ" ผู้เชี่ยวชาญอาวุธปืนรายเดิมกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้ารับการอบรมหลักสูตรสไนเปอร์ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ต้องเป็นผู้ที่อดทน ใจเย็น เนื่องจากกว่าจะสั่นไกลได้ 1 ครั้งอาจใช้เวลาเป็นวัน ต้องมีความอดทนต่อสภาพอากาศ ร่างกายต้องแข็งแรงพอสมควร และในกลุ่มผู้นิยมปืนสไนเปอร์ยังแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ พลแม่นปืน ซึ่งจะยิงปืนแม่นธรรมดา กับพลซุ่มยิง ซึ่งจะเป็นผู้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มข้นตามหลักสูตร 3 เดือน มีความอดทนทุ่มเทในการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนกลุ่มผู้ที่เข้าอบรมหลักสูตรสไนเปอร์ที่ผ่านมา มีทั้งกลุ่มทหาร ตำรวจ และพลเรือน เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษในหน่วยงานต่างๆ และเป็นเกมกีฬา โดยกลุ่มสไนเปอร์ในเมืองไทยมีอยู่ประมาณ 200 คน ซึ่งต่างก็รู้จักมักคุ้นกันดี ตรงกันข้ามกับต่างประเทศจะมีกลุ่มสไนเปอร์เยอะกว่าเมืองไทยมาก อย่างที่อเมริกาจะมีกลุ่มสไนเปอร์เป็นพันๆ คน
ส่วนการฝึกอบรมหลักสูตรสไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงของหน่วยราชการไทย ผู้เชี่ยวชาญอาวุธปืน บอกว่า การอบรมพลซุ่มยิงรุ่นหนึ่ง จะกินเวลา 3 เดือน และต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ คงไม่มีเวลาไปฝึกซ้อม ประกอบกับอาวุธปืนที่ใช้ในการซุ่มยิงก็มีราคาสูง หากจะใช้ปืนที่มีประสิทธิภาพสูงย่อมต้องมีราคาแพง ขนาดปืนสไนเปอร์ที่ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษยังมีราคากระบอกละแสนกว่าบาท ทำให้การยิงแบบสไนเปอร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ต้องใช้ความสามารถส่วนตัวสูงมาก แตกต่างกับของพลเรือนที่คุณภาพของปืนจะดีกว่า
ส่วนคดีที่เสธ.แดงถูกยิงด้วยสไนเปอร์นั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืน วิเคราะห์ชนิดฟันธงว่า เป็นฝีมือของผู้ชำนาญการที่มีอยู่นับตัวได้ในเมืองไทย เมื่อดูจากระยะยิงไม่น่าจะเกิน 150 เมตร ซึ่งเป็นการยิงระยะใกล้ และต้องประกอบด้วยทีมงาน 2-3 คน แต่จะวิเคราะห์ว่าหน่วยใดเป็นคนลั่นไกนั้นไม่สามารถบอกได้ เพราะบางหน่วยเป็นหน่วยลับ หรือบางทีอาจเป็นพลเรือนที่มีปืนสไนเปอร์ประสิทธิภาพสูงก็ได้ เพราะพลเรือนเองอาจจะมีเวลาฝึกซ้อมเยอะกว่าข้าราชการ จึงมีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง ทั้งนี้ กลุ่มสไนเปอร์ต่างประเทศคนที่ฝีมือดีในระดับพลซุ่มยิงจะมีค่าตัวสูงมาก !