
เรือนชานบ้านเมือง-พลังเงียบกำลังจับตาดูมวยล้มต้มคนดู
ความขัดแย้งทางความคิดและทัศนคติที่แตกต่างกัน ได้แบ่งผู้คนออกเป็นฝักเป็นฝ่าย จนเกิดเป็นสีต่างๆ หลากสีในบ้านเมือง ที่หลายฝ่ายต่างลุ้นกันว่าการชุมนุมของพลพรรค เสื้อแดง ที่ได้ก้าวล้ำเส้นของการชุมนุมโดยสันติ อีกทั้งยังได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐาน และยังเต็ม
นอกจากนั้น ยังทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมซึ่งเป็น “พลังเงียบ” ประเภทผู้ “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ต่างมีความหวังลึกๆ ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายโดยสันติวิธี (โดยที่ต่างฝ่ายต่างหาทางลงอย่างไม่เสียหน้ากันได้) แล้วก็พากันแยกย้ายกลับไปประกอบสัมมาอาชีวะ ตามที่ตนถนัดในภูมิลำเนาเดิม แบบว่ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น เพื่อพักเอาแรงกันก่อนที่จะมาเริ่มทะเลาะกันใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้
ผมเป็นคนหนึ่งในกลุ่ม “พลังเงียบ” ประเภท “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ที่ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์จะจบลงง่ายดาย ตาม “โรดแม็พ” ที่ท่านนายกฯ ประกาศไว้ เพราะรู้ว่าทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องลึกของทั้งสองฝ่ายนั้น ต่างเต็มไปด้วยสรรพกำลังอาวุธยุทธปัจจัย เสบียงอาหาร รวมทั้งน้ำเลี้ยงที่ได้มีการตระเตรียมการซ่องสุมกันมายาวนาน มีการบริหารจัดการเป็นระบบเครือข่ายอย่างดี ทำให้ผมรู้สึกว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างแท้จริงหรอกครับ
แต่ที่แน่ๆ ผมรู้ว่ายิ่งนานประเทศชาติก็ยิ่งบอบช้ำหนักหนาสาหัสมากขึ้นทุกวันครับ เพราะถูกทั้ง “ฝ่ายรัฐบาล” (ที่มีพลพรรคเสื้อสีต่างๆ สนับสนุนอยู่) และฝ่าย “พลพรรคเสื้อแดง” (ที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีสนับสนุนอยู่) ต่างก็กำลังเอาประเทศชาติเป็นตัวประกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตั้งเงื่อนไขในการต่อรองที่อีกฝ่ายไม่มีวันที่จะยอมรับได้ คนที่ตกที่นั่งลำบากที่สุดในตอนนี้ คือ บรรดา “พลังเงียบ” ประเภทผู้ “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับเขาครับ อีกทั้งยังไม่ได้มีส่วนได้ มีแต่ส่วนเสียกับการเล่นเกมการเมืองของทั้ง 2 ฝ่าย
ใจผมยังห่วงหาอาลัยกับบรรยากาศการเฉลิมฉลองเนื่องใน “วันฉัตรมงคล” ที่เพิ่งผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา “พลังเงียบ” พลพรรค “รักในหลวง” ที่ “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” มีความสุขอย่างแท้จริง ผมก็อดที่จะนึกถึง ปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งครองราชย์เมื่อ 60 ปีที่ผ่านมา ดังกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
นึกถึงกระแสพระราชดำรัสของ ในหลวง ครั้งใด ผมก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ได้มุ่งเน้น “ประโยชน์สุข” ของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก มุ่งแต่ “ประโยชน์ส่วนตน” และพรรคพวกเพื่อนพ้องเพียงหยิบมือ เลยทำให้กระบวนการที่นำไปสู่ความ “สมานฉันท์” ที่แท้จริงไม่มีโอกาสเกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นก็เป็น “สมานฉันท์" แบบจอมปลอม เป็น “มวยล้ม ต้มคนดู” หวังที่จะหลอกลวงผู้คนส่วนใหญ่ให้มีความหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ซื้อเวลาไปวันๆ
ดังนั้น จึงอยากจะวิงวอนถึงผู้มีอำนาจวาสนาทั้งสองฝ่าย อย่าเล่นละครตบตาชาวประชาที่สังกัดพรรค “รักในหลวง” ที่เป็น “พลังเงียบไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” และเป็นเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศอีกต่อไปเลยครับ กระบวนการ “สมานฉันท์” ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องน้อมนำเอา ราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่าด้วย “ประโยชน์สุข” ซึ่งหมายถึงนำมาซึ่ง “ประโยชน์” แก่คนหมู่มากทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมไปถึงนำมาซึ่ง “สุข” แก่คนหมู่มากที่ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้คนรอบข้าง
หากทำได้อย่างนี้ก็จะถือว่าเป็นกระบวนการ “สมานฉันท์” อย่างแท้จริง ไม่ใช่การถูกหลอกให้เชียร์ “มวยล้ม ต้มคนดู” อย่างไรอย่างนั้นครับ
ภัทรพล เวทยสุภรณ์