ข่าว

 "โรคพารานอยด์"เตือนการ์ดนปช..อาจสติแตก

"โรคพารานอยด์"เตือนการ์ดนปช..อาจสติแตก

05 พ.ค. 2553

"การ์ด" กลายเป็นประเพณีปฏิบัติของม็อบเมืองไทยไปเรียบร้อยแล้ว ทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมือง ชายฉกรรจ์หน้าตาขึงขังรูปร่างกำยำจะถูกเรียกให้มาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยพื้นที่ชุมนุม ดูแลแกนนำ ไปจนถึงเป็นแนวหน้าเมื่อเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร

 นั่นคือในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ในยามปกติพวกเขาเหล่านี้ก็แทบไม่ต่างจากเดิม ท่าทีที่ขึงขังน่าเกรงขามในชุดเสื้อคลุมสีดำ มือถืออาวุธทั้งไม้หน้าสาม ท่อนเหล็ก ด้ามธง หรือไม้ไผ่เหลาแหลมเดินตรวจตราอยู่ทั่วบริเวณ ไม่ผิดอะไรกับพื้นที่ชุมนุมเป็นค่ายคูประตูหอรบ ที่แม่กองจำต้องเลียบค่ายตรวจดูความพร้อมเพรียงไว้รบทัพจับศึก

 จนเกิดคำถามว่าผู้ชุมนุมเหล่านี้บางคนมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยกลุ่มโรค "พารานอยด์" ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้ร่วมชุมนุมโดยไม่เจตนาได้ ?!!

 นพ.ธีระ ลีลานันทกิจ จิตแพทย์ที่ปรึกษาสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา อธิบายว่า "พารานอยด์" (paranoid) หรืออาการหวาดระแวง สามารถพบได้ในกลุ่มคนที่มีอาการเครียดอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเกิดจากความต้องการหรือคาดหวังสูง เมื่อคาดหวังในเรื่องใดมากๆ และมุ่งหวังเป็นเวลานาน แต่ยังไม่สมหวังสักที อาการเครียดจะสะสมจนกลายเป็นความรู้สึกหวาดระแวง บางครั้งอาจเกิดในกลุ่มคนมองโลกในแง่ร้าย หรือผู้มีความคิดอยากทำร้ายคนใดคนหนึ่ง หรือคิดจะทำความรุนแรงต่อศัตรู

 ใครก็ตามที่มีความคิดอย่างนี้ตลอดเวลาจะเกิดอาการสะท้อนกลับ กลายเป็นความหวาดระแวงว่าผู้ที่เป็นเป้าหมายหรือศัตรูอาจเตรียมทำร้ายตัวเองเช่นกัน โรคพารานอยด์ก็คือผู้มีอาการหวาดระแวงมากจนควบคุมสติไม่ได้เป็นระยะๆ

 ทั้งนี้ อาการพารานอยด์มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของผู้ป่วย เช่น วัยวุฒิ ครอบครัว สิ่งแวดล้อม ยาที่เสพ ฯลฯ สำหรับเหตุการณ์บ้านเมืองที่มีความตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ นพ.ธีระ ยอมรับว่า การชุมนุมปิดถนนของคนจำนวนมากที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกว่า 50 วัน ทำให้ทั้งฝ่ายการ์ดเสื้อแดงและฝ่ายทหารตำรวจบางกลุ่มที่ทำงานผลัดเปลี่ยนเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง อาจเริ่มมีอาการพารานอยด์แล้ว?!!

 "ฝ่ายการ์ดเสื้อแดงก็อาจผิดหวังจากข้อเรียกร้องที่รัฐบาลไม่สนใจ กลัวรัฐบาลสั่งสลาย ส่วนตำรวจทหารก็เครียดจากการเฝ้าระวังความปลอดภัย และป้องกันการถูกลอบทำร้าย ฯลฯ อารมณ์ที่ผูกมัดเหล่านี้ถ้าเป็นต่อเนื่องยาวนาน จะทำให้เกิดอาการหวาดระแวงและเสียสติปัญญาในการแก้ปัญหา หากกระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ ถ้าเริ่มสังเกตเห็นใครมีอาการหวาดระแวง ควรเปลี่ยนเวรยามหรือสิ่งแวดล้อม แล้วให้พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ลดความเครียด แต่ถ้าใครพักผ่อนแล้วยังมีอาการหวาดระแวงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องมาปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อใช้ยาปรับสารเคมีในสมองให้สมดุล ลดอาการเครียดและอาการพารานอยด์"

 ขณะที่ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อมนุษย์อยู่ในภาวะถูกคุกคามชีวิต จะเกิดกลไกป้องกันจิตกลัวตัวเองถูกทำร้าย จนกลายเป็นความหวาดระแวง อาการของผู้เป็นโรคพารานอยด์แบ่งเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่รุนแรง ปานกลาง และเริ่มต้น โดยมีวิธีสังเกตดังนี้ หากมีคนสะกิดด้านหลังแล้วผู้นั้นมีปฏิกิริยาโต้กลับอย่างรุนแรง เช่น หันไปผลักหรือชกหน้า หรือปัดมือแล้วชกกลับทันที คือเข้าขั้นรุนแรง แต่ถ้าสะกิดแล้วร้องเสียงโวยวาย หรือรู้สึกจั๊กจี้กระโดดหนีจะอยู่ในขั้นปานกลาง ส่วนระยะเริ่มต้นจะมีอาการตกใจ สะดุ้ง ร้องเสียงดัง มือจับหน้าอก เป็นต้น

 "วันนั้นผมขับรถผ่านเห็นทหารหน้าตาเด็กๆ ถือปืนทำท่าซุ่มหลบตามจุดต่างๆ แค่เห็นก็รู้สึกเครียดแล้ว คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่เห็นภาพนี้ก็คงรู้สึกเหมือนกัน และยังมีการประกาศจากรัฐบาลเป็นระยะๆ ว่าจะสลายม็อบ หรือกดดันผู้ชุมนุมเรื่องต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้สังคมไทยเกิดอารมณ์คั่งค้าง ถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อเนื่องหลายเดือน บางคนอาจกลายเป็นโรคจิตหรือโรคประสาทอ่อนๆ ได้"

 นักจิตวิทยาข้างต้นวิเคราะห์ว่า ขณะนี้คนไทยเริ่มเกิดปฏิกิริยา 2 แบบ คือ "ถมใส่หรือถอยหนี" กลุ่มที่มีอาการถมใส่จะเริ่มพูดจารุนแรง สาปแช่ง เช่น ฆ่ามันให้หมด ล้อมสลายเสื้อแดงให้หมด ฯลฯ ส่วนผู้ที่ถอยหนีก็จะเริ่มไม่อยากยุ่งแล้ว ไม่อยากรับฟังเรื่องสีเสื้อต่างๆ หากเกิดนานกว่านี้สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมป่วย (Sick Society) หรือสังคมแห่งความหวาดกลัว (Panic Soceity) เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ

 หากรัฐบาลปล่อยให้เกิดความกดดันในสังคมเกิน 3 เดือน อาการหวาดระแวงในบางคนหรือบางกลุ่มจะรุนแรงขึ้น อาจถึงขั้นป่วยเป็นโรคจิตผิดปกติได้ เพราะโดยปกติแล้วผู้ที่ผิดหวังในชีวิต ไม่ว่าจะอกหัก สอบตก ตกงาน ฯลฯ จะเริ่มจากคิดมาก นอนไม่หลับ เครียด แต่ผ่านไปสักพักไม่เกิน 3 เดือนอาการเหล่านี้จะดีขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าเกิน 3 เดือนแล้วอาการด้านจิตใจรุนแรงกว่าเดิม ต้องได้รับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นรัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน หากไม่ต้องการให้คนไทยมีอาการผิดปกติทางจิตใจจนเกินเยียวยา

 ด้าน "ขวัญชัย" หนุ่มสกลนคร วัย 27 ปี ยอมรับว่า เกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาเขากับเพื่อนอีก 3 คน มีพฤติกรรมผิดไปจากเดิม เช่น พูดจาเสียงดังและห้วนไม่มีหางเสียง ส่วนตัวเข้าใจว่ามาจากความเคยชิน หลังจากอาสาเข้ามาเป็นการ์ดให้กลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจากต้องพูดแข่งกับเครื่องขยายเสียง อย่างตอนปะทะกับทหารตำรวจจะบอกให้คนหนีก็ต้องตะโกนสุดเสียง

 "นานเข้าผมเลยกลายเป็นคนพูดกระโชกโฮกฮากและเสียงดังไปโดยปริยาย ครั้งแรกไม่เชื่อนะ แต่พอวันไหนกลับบ้านลูกเมียจะถามว่า เป็นอะไร ทำไมต้องพูดเสียงดังด้วย"

 ขวัญชัยบอกด้วยว่า ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ การ์ดทุกคนเหมือนเขาหรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่รู้คือเขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่แกนนำสั่งให้ทำ และเชื่อทุกคำพูดที่แกนนำปราศรัย !?!

 เช่นเดียวกับ "กิตติ" หนุ่มรูปร่างกำยำ วัย 29 ปี จากพิษณุโลกที่ถูกชักชวนมาเป็นการ์ดนานเกือบ 2 เดือน มีหน้าที่ตรวจตราสิ่งผิดปกติในที่ชุมนุม ยอมรับว่า เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น เขายืนยันว่าไม่ได้เกิดจากการใช้สารเสพติด ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่จะคิดคล้อยตามคำพูดของแกนนำตลอด ซึ่งกิตติบอกว่าเป็นเพราะแกนนำยกเหตุผลมาประกอบ ทำให้มองเห็นจริงตามที่แกนนำพูดเลยทำให้เชื่อ