
สงครามกลางเมือง
มีแฟนานุแฟนคอลัมน์ วันเว้นวันฯ อยากให้ผมเล่าถึงเรื่องสงครามกลางเมืองให้ฟังบ้าง โดยเฉพาะสาเหตุและเรื่องราวของสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญๆ จริงๆ แล้ว ผมได้เคยเขียนถึงสงครามกลางเมืองผ่านทางคอลัมน์นี้มาบ้างแล้ว เช่น สงครามกลางเมืองในสเปน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
คำว่า สงครามกลางเมือง หรือ civil war ในภาษาอังกฤษ มีผู้ให้คำจำกัดความไว้หลายอย่างด้วยกัน แต่กล่าวโดยสรุปสงครามกลางเมืองก็คือสงครามที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งของคนในชาติ และมีความรุนแรงจนถึงขั้นใช้กำลังเข้าต่อสู้กัน คำว่าชาติตามหลักรัฐศาสตร์ก็ต้องประกอบด้วยดินแดน ประชากรและรัฐบาล ทั้งนี้ ภายในชาติเดียวกันย่อมประกอบด้วยประชากรหลายเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างสภาวะทางสังคมและต่างแนวคิดทางการเมือง ซึ่งบางครั้งความแตกต่างดังกล่าวก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงได้
สงครามกลางเมืองที่สำคัญๆ มีอยู่หลายครั้งด้วยกัน สงครามกลางเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์และอำนาจ มีเช่น สงครามดอกกุหลาบของอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1455-1485 เป็นสงครามชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์แลงคาสเตอร์ กับ ราชวงศ์ยอร์ก ซึ่งทั้งสองราชวงศ์ต่างก็ใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ โดยราชวงศ์แลงคาสเตอร์ใช้ดอกกุหลาบสีแดง และราชวงศ์ยอร์กใช้ดอกกุหลาบสีขาว ผลของสงครามจบลงด้วยชัยชนะของราชวงศ์แลงคาสเตอร์
สงครามกลางเมืองในอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เป็นความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าแผ่นดินของอังกฤษ คือพระเจ้าชาร์ลส์ กับรัฐสภา ใน ค.ศ.1645 เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ขอให้รัฐสภาออกกฎหมายเพื่อเล่นงานขุนนางบางคน แต่รัฐสภาไม่ยินยอม จึงเกิดการสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายและแคว้นต่างๆ ของอังกฤษแบ่งแยกกันเข้าข้างทั้งพระเจ้าชาร์ลส์และรัฐสภา จนกลายเป็นสงครามใหญ่ลุกลามไปทั่วเกาะอังกฤษ สงครามยืดเยื้อไปถึง ค.ศ.1651 ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายรัฐสภาซึ่งมี โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เป็นผู้นำ เป็นผลให้พระเจ้าชาร์ลส์หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสจนสิ้นพระชนม์
สงครามกลางเมืองครั้งสำคัญที่มีสาเหตุจากศาสนา ได้แก่ สงครามศาสนาของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1562-1598 ระหว่างฝ่าย คาทอลิก โดยตระกูลกีส กับฝ่าย โปรแตสแตนท์ โดยตระกูลบูร์จ โดยฝ่ายโปรแตสแตนท์เป็นผู้มีชัย ทำให้ชาวฝรั่งเศสที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาโดยเสรี
สงครามกลางเมืองซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ได้แก่ สงครามกลางเมืองสเปน ในปี ค.ศ.1936-1939 เป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนสองกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน และแต่ละกลุ่มยังได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศด้วย กลุ่มแรกคือ กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายสังคมนิยม ฝ่ายคอมมิวนิสต์ และชนกลุ่มน้อยที่เรียกร้องการปกครองตนเอง กลุ่มนี้ได้รับความสนับสนุนจากโซเวียต และเม็กซิโก กับกลุ่มชาตินิยม ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มรอยัลลิสต์ กลุ่มคาทอลิก กลุ่มฝ่ายขวา และฟาสซิสม์ ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากฟาสซิสม์อิตาลี และนาซีเยอรมัน ทั้งสองฝ่ายทุ่มเทกำลังเข้าสู้รบกันกว่า 1 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองสเปนกว่า 5 แสนคน สงครามจบลงด้วยชัยชนะของกลุ่มชาตินิยม ซึ่งมี นายพลฟรันซิสโก ฟรังโก เป็นผู้นำ
สงครามกลางเมืองซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ สงครามกลางเมืองในสหรัฐ ซึ่งเกิดขึ้นใน ค.ศ.1861-1865 โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางสังคมและเศรษฐกิจ คือมลรัฐในภาคใต้ของสหรัฐ มีอาชีพหลักในทางเกษตรซึ่งต้องอาศัยแรงงานทาสจากแอฟริกัน ขณะที่มลรัฐภาคเหนือประกอบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้แรงงานทาส ประกอบกับ ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเพิ่งได้รับการเลือกตั้ง ประกาศนโยบายเรื่องการเลิกทาสอย่างชัดเจน ดังนั้นมลรัฐภาคใต้ 11 รัฐ จึงประกาศแยกตัวจากสหรัฐ รัฐบาลกลางจึงส่งกำลังเข้าปราบปราม ผลของสงครามทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 6 แสนคน แม้ฝ่ายเหนือจะเป็นผู้ชนะ แต่ก็ต้องสูญเสียประธานาธิบดีลินคอล์นไปในเวลาต่อมา
สงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ สงครามกลางเมืองรัสเซีย ใน ค.ศ.1981-1922 ซึ่งเป็นการต่อสู้ทางสังคมและอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่าง พรรคบอลเชวิก ที่นิยมมาร์กซิสต์ กับฝ่ายที่นิยม พระเจ้าซาร์ เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตจากสงครามประมาณ 9 ล้านคน
สงครามกลางเมืองในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่เกิดในทวีปแอฟริกา โดยมีสาเหตุสำคัญจากการช่วงชิงอำนาจ ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และการแย่งชิงทรัพยากร เช่นสงครามกลางเมืองในคองโก สงครามกลางเมืองในซูดาน สงครามกลางเมืองในอูกันดา สงครามกลางเมืองในแองโกลา สงครามกลางเมืองในเซียร์ราลีโอน สงครามกลางเมืองในโซมาเลีย และสงครามกลางเมืองในรวันดา เป็นต้น โดยสงครามกลางเมืองในโซมาเลีย เมื่อปี ค.ศ.1991-2004 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 5 แสนคน และสงครามกลางเมืองในรวันดา ซึ่งเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างทุตซีกับฮูตู ในปี ค.ศ.1994 มีผู้ถูกสังหารเป็นจำนวนถึง 800,000-1,000,000 คน
ครับ นั่นคือเรื่องราวของสงครามกลางเมือง ซึ่งผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะคิดเหมือนกันกับผมว่า ต้องการให้สงครามกลางเมืองเป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ และฝันร้ายของมนุษยชาติ มากกว่าการเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และความจริงที่โหดร้ายไม่ว่าจะของประเทศใดก็ตาม