
แถลงจับมือยิงอาร์พีจีเป้าวัดพระแก้วพันแดงชัด
ดีเอสไอเผยผลสอบปากคำมืออาร์พีจีถล่มกลาโหมพลาด ระบุเป้าหมายแท้จริงวัดพระแก้ว พบผู้ว่าจ้างโยงพรรคการเมืองค่าเหนื่อย 5 แสนบาท มือยิงรับสารภาพพันม็อบแดงชัด
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 เมษายน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกประชุมพนักงานสอบสวน สตช. ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จาก 30 สน. ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อซักซ้อมวิธีปฏิบัติในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับคดีก่อการร้ายและความผิดอื่นที่เกี่ยวกับการชุมนุมโดยมิชอบตามกฎหมาย
นายธาริต กล่าวว่า ได้รับรายงานข้อมูลเบื้องต้นจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่า ได้จับกุมผู้ต้องหาคดียิงระเบิดอาร์พีจีหวังถล่มกระทรวงกลาโหมได้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการควบคุมตัวของทหารแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าผู้ต้องหาคนดังกล่าวเป็นทหาร หรือพลเรือน ส่วนนายชยุต ใหลเจริญ หัวหน้าการ์ด นปช. ที่จับกุมตัวได้ก่อนหน้านี้ เริ่มให้การต่อพนักงานสอบสวนบ้างแล้ว แต่ยังเป็นเพียงการให้ความร่วมมือในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ถือเป็นการรับสารภาพหรือให้การทั้งหมด
ต่อมา อธิบดีดีเอสไอ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือถึงข้อกฎหมายว่าจะดำเนินการควบคุมตัว ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาในคดียิงจรวดอาร์พีจีหวังถล่มกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศอฉ. หรือแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อขอควบคุมตัวตามความผิดในคดีอาญา เนื่องจากทั้งสองกรณีจะทำให้อำนาจควบคุมตัวต่างกัน หากเป็นการควบคุมตัวตามหมายจับของ ศอฉ. เจ้าหน้าที่มีอำนาจควบคุมตัวได้นาน 7 วัน แต่หากเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้แค่ 24 ชั่วโมง จากนั้นต้องนำตัวไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังต่อไป สำหรับสถานที่ควบคุมตัวนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวถือเป็นคดีพิเศษ จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะนำตัวไปควบคุมไว้ที่ใด
รายงานข่าวจากชุดสืบสวนสอบสวนว่า ส.ต.ต.บัณฑิต ระบุว่าได้รับการว่าจ้างให้ก่อเหตุเป็นเงิน 5 แสนบาท โดยผู้ว่าจ้างมีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายการก่อเหตุคือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) แต่เนื่องจากจรวดพุ่งไปติดสายไฟฟ้าบริเวณปากซอยแพร่งภูธร กระสุนพลาดเป้าเฉี่ยวสายไฟฟ้าไปตกที่กระทรวงกลาโหม
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ปราศรัยบนเวทีว่ารัฐบาลได้ว่าจ้างคนมายิง เพื่อป้ายสีว่าเป็นการกระทำของนปช. โดยมีเป้าหมายอยู่ที่วัดพระแก้ว
ธาริตแถลงจับมือยิงอาร์พีจีเป้าวัดพระแก้วพันแดงชัด
กระทั่งเวลา 21.00 น. นายธาริต แถลงว่า กรณีจับกุมคนร้ายใช้เครื่องยิงระเบิดอาร์พีจียิงใส่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว แต่เกิดความผิดพลาด สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 มีนาคม เวลา 22.00 น.เศษ เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่บริเวณกระทรวงกลาโหม มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย และสายโทรศัพท์ ทรัพย์สินราชการเสียหาย จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.ท.อัศวินขวัญเมือง พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา สามารถจับกุมคนร้าย 2 ราย ตามมหายจับศาลอาญา คือ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อายุ 43 ปี ซึ่งออกจากราชการไปกว่า 10 ปีแล้ว และนายศุภนัฐ หรือโก้ ปุ๋ยเวช อายุ 43 ปี โดยกล่าวหาว่า ทั้งสองคนร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน คือ เครื่องยิงระเบิดอาร์พีจี ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ยังอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เชิญตัวบุคคลอีก 3 ราย มาซักถามดังนเพิ่มเติม คือ 1.นายภาสกร หรือสมนึก ศิริลักษณ์ อายุ 50 ปี 2.นายวายุภักดิ์ โนรี อายุ 48 ปี 3.พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วกรรม อายุ 39 ปีผลการสืบสวนสอบสวน ปรากฎว่า ส.ต.ต บัณฑิตเป็นเพื่อนกับ พ.ต.ท.ศุภชัย ซึ่งมีภรรยาเป็นแกนนำเสื้อแดงพัทยา
"ส.ต.ต.บัณัฑิต มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้อาวุธสงครามจากการรับราชการเขตชายแดน ทำหน้าที่ขับรถให้ภรรยาของ พ.ต.ท.ศุภชัย คือนางจุรีพร สินธุไพร และดูแลความปลอดภัยให้นางจุรีพร โดย ส.ต.ตบัณฑิตสารภาพว่า เดินทางเข้า กทม.พร้อมนางจุรีพร เพื่อร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงผ่านฟ้าฯ ซึ่ง พ.ต.ท.ศุภชัย บอกว่า การจะร่วมต่อสู้ต้องก่อวินาศกรรมสถานที่สำคัญทางราชการ หรือสถานที่สำคัญที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชน จึงสั่งเตรียมอาวุธสงครามและยานพาหนะ โดย พ.ต.ท.ศุภชัยให้นำเครื่องยิงอาร์พีจีไปที่เกิดเหตุและมอบเงินเป็นค่าตอบแทนให้ 5 แสนบาท" นายธาริตกล่าว
อธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า ในวันเกิดเหตุคือวันที่ 20 มีนาคม ส.ต.ต.บัณฑิตกับพวกร่วมกันยิงระเบิดอาร์พีจี มีเป้าหมายคือวัดพระแก้ว แต่โชคดีของบ้านเมือง ที่หัวระเบิดไปติดสายไฟไม่ถูกเป้า จึงรีบทิ้งอาวุธปืนไว้ในรถ แล้วหลบนีไป ทั้งนี้ ในนามของกรมสอบสวนคดีพิเศษกระทรวงยุติธรรม และในฐานะกรรมการ ศอฉ.ขอวิงวอนประชาชนอย่าเข้าใกล้สถานที่ชุมนุม เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุร้ายที่จะเกิดอันตรายทั้งชีวิตทรัพย์สิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอความร่วมมือในการแจ้งเบาะแส แหล่งคนร้ายหลบซ่อน ที่พักพิง หรือมีอาวุธ หากพบให้แจ้งมายังกรมสอบสวน ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1202 กรมสอบสวนคดีพิเศษจะรีบประสานงานกับท่าน และจะมีมาตรการคุ้มครองพยานให้ ซึ่งความร่วมมือของท่านจะช่วยระงับเหตุร้ายในบ้านเมือง