
ความคิดสามานย์
ผมพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายกับการเมืองให้มากนัก แต่ในช่วงที่เกิดการประท้วงและแตกขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรง สิ่งที่นักการเมืองทำหรือความคิดที่นักการเมืองพยายามยัดเยียดให้ประชาชนหลงคล้อยตามนั้น บางเรื่องบางความคิดที่นำเสนอออกมาต่อสาธารณะ สาม
เช่นเรื่องที่นักกิจกรรมผู้สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองด้วยงานทางการเมือง พยายามบอกกับประชาชนผู้คล้อยตามตนเองว่า อย่าไปซื้อสินค้าของผู้ผลิตรายนั้นรายนี้ เพราะเป็นนายทุนให้กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับตน หรือแม้แต่การพยายามที่จะไปทำลายอาคารสิ่งของ หรือปิดล้อมที่ทำการธนาคาร เพราะเชื่อว่าเป็นแหล่งที่ฝ่ายคิดตรงข้ามกับตัวเองเข้าไปลงทุน
ไม่เว้นแม้แต่ความพยายามที่จะชักจูงให้คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตัวเองคล้อยตาม ไม่ไปท่องเที่ยวหรือใช้จ่ายเงินในจังหวัด หรือในพื้นที่ซึ่งคิดว่าเป็นฐานเสียงของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ซึ่งความคิดและความพยายามชักจูงต่างๆ เหล่านี้ หากจะเรียกให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าถึงขั้นปลุกระดม และเป็นการปลุกระดมที่สามานย์ไร้สติ
ธุรกิจในประเทศไทยปัจจุบันนี้ก้าวไปสู่ความเป็นสากลมากขึ้น ธนาคารหรือกิจการใหญ่ๆ มีการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีนักลงทุนทุกกลุ่มทุกเชื้อชาติที่สนใจในผลประกอบการ เข้ามาลงทุนหรือเรียกกันว่าเข้ามาซื้อหุ้นในกิจการที่มีผลประกอบการดี โดยไม่เลือกว่ากิจการนั้นมีกลุ่มทุนการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร่วมอยู่ด้วย
แต่หากนักการเมืองที่มีมันสมองในปริมาณที่น้อยกว่าขี้ตาแมว ทำการปลุกระดมจนทำให้นักลงทุนหรือนักธุรกิจไทยและต่างชาติ แตกตื่นและตระหนกไปด้วยความหลงเข้าใจว่า ธุรกิจในประเทศไทยถูกนำไปพัวพันกับการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ การลงทุนในประเทศไทยจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามไปทันทีทันใด
หมายถึงบทสรุปส่งท้ายสำหรับประเทศไทยในสายตาของนักลงทุนทั้งหลายก็คือ แดนสนธยาที่ไม่น่านำเงินมาลงทุนประกอบธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหากถึงวันนั้นขึ้นมาจริงไม่ว่าจะมีนักการเมืองฝ่ายใดขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจในการบริหารประเทศ เศรษฐกิจไทยก็ถึงเวลาพินาศแตกดับอย่างไม่มีวันฟื้นคืนขึ้นมาอีก
ดังนั้น การเมืองจะเล่นกันอย่างไรก็เล่นไป จะใช้วิธีการสามานย์เลวทรามทางการเมืองก็เล่นไปตามวงจรการเมือง อย่าได้ดึงเรื่องอุบาทว์เข้าไปสู่ธุรกิจการค้าให้ประเทศย่อยยับไปด้วยเลย
สิ่งที่น่าแปลกใจคือลำพังนักการเมืองข้างถนน ที่อาศัยการเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง จะโยงใยการเมืองไปหาธุรกิจการค้าอย่างใดก็ช่าง แต่นักธุรกิจที่ยืนหยัดเคียงข้างการเมืองแต่ละฝ่าย หรือแม้แต่นักธุรกิจที่ก้าวขึ้นไปบนเวทีการประท้วงทั้งหลาย กลับไม่รู้สึกรู้สมกับกลไกอุบาทว์ที่กำลังถูกยัดเยียดความคิดและการกระทำนั้นๆ
จนไม่น่าเชื่อว่าหลายคนเหล่านั้นกินอยู่กับครอบครัว ที่ประกอบธุรกิจมาอย่างเที่ยงธรรมและซื่อตรง และไม่น่าเชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นได้ลงมือกระทำธุรกิจของตนเอง มาด้วยวิถีทางของธุรกิจอย่างแท้จริง จนไม่รับรู้ว่าวิธีการปลุกระดมดังกล่าวนั้น เป็นวิธีการที่สามานย์สำหรับกลไกทางธุรกิจ และเป็นตัวการทำลายประเทศไทยอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าการกระทำใดๆ ทั้งสิ้นครับ
พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ