
รุ่นใหญ่แนะรุ่นใหม่ใช้ชีวิตให้เป็น
ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงตามไปเช่นกัน อย่างในเรื่องของผู้สูงอายุ แต่ก่อนสังคมไทยให้ความเคารพนับถือยกให้ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของลูกหลาน แต่ในสังคมปัจจุบันค่านิยมทางความคิดเปลี่ยนแปลงไปมาก หลายครอบครัวมองผู้สูงอายุเป็น
ดูอย่าง คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช นักพัฒนาชุมชน นักสังคมสงเคราะห์ วัย 66 ปี ผู้ประสบความสำเร็จในเรื่องหน้าที่การงานเสมอมา ได้ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ว่า หากเป็นไปได้ควรเลือกงานที่ตัวเองชอบ เพราะจะทำให้สนุกกับงานและทุ่มเทให้สิ่งนั้นเต็มที่ เหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การแบ่งเวลาให้แก่ครอบครัว และควรหางานอดิเรกทำเพื่อคลายความเหงายามแก่ด้วย
"อย่าใช้เวลาทั้งหมดเพื่อมุ่งมั่นทำงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องแบ่งปันให้แก่ครอบครัว และควรหากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ตัวเองชอบจริงๆ ทำอย่างต่อเนื่อง พอถึงวัยเกษียณงานน้อยลง ลูกเต้าทำงานกันหมดแล้ว ก็จะช่วยให้เราคลายความเหงายามแก่ได้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการออกกำลังกาย พอตัวเองอายุมากขึ้น เห็นได้ชัดเลยว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญมาก และควรเริ่มทำตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว เคยเห็นมาหลายคนที่สมัยก่อนมุ่งมั่นทำงานอย่างเดียว พอถึงวัยเกษียณ ออกมาอยู่บ้านเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร ทำให้เกิดอาการหลงได้ง่าย เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน" นักพัฒนาชุมชนแนะ
ด้าน นฤเทพ สิทธิชาญคุณะ เลขานุการประจำประธานองคมนตรี วัย 58 ปี แนะว่า ในวัยเรียนทุกคนควรจะมี 2 สิ่งสำคัญประกอบกัน นั่นคือความขยันและความใฝ่รู้ ความขยัน คือ การพยายามทำสิ่งนั้นอยู่เรื่อยๆ ส่วนความใฝ่รู้ คือ การมองสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต และพยายามหาความรู้จากสิ่งเหล่านั้น หากทุกคนมีความขยันเป็นทุน และนำมาประกอบกับความใฝ่รู้ด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ก็เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้
"หลังจากเรียนจบ ก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน คนรุ่นใหม่ควรใช้ชีวิตแบบพอเพียง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายแต่สิ่งที่จำเป็น ควรให้ความสำคัญกับสิ่งของที่มีอยู่ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ ความมีคุณธรรม ควรเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่เอาเปรียบสังคมจนเกินไป อะไรที่ช่วยได้ก็ควรช่วย เพื่อให้สังคมเดือดร้อนน้อยที่สุด" เลขานุการกล่าว
หันมาฟังความเห็นจาก ม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยันต์ ปกมนตรี วัย 77 ปี แนะนำเรื่องการวางตัวในการเข้าสังคมแก่คนรุ่นใหม่ว่า ควรวางตัวตามสบายเป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นกันเองและมีมนุษยสัมพันธ์ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ด้วย สำหรับหัวข้อการสนทนาในการเข้าสังคมนั้น ควรจะพูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน โดยดูว่าคู่สนทนาของเราสนใจในเรื่องอะไร ก็ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา ด้วยการคุยไปในทิศทางนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องทั่วไปอย่างเรื่องหนังสือ เรื่องอินเทอร์เน็ต เรื่องความรู้ต่างๆ เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องการเมืองเด็ดขาด เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันได้
ด้านอดีตประธานสภาสตรี วัย 80 เศษ จรรย์สมร วัธนเวคิน แนะนำคนรุ่นใหม่ในเรื่องของการเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อลดช่องว่างระหว่างวัยว่า ก่อนอื่นผู้ใหญ่จะต้องยอมรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ใหญ่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ยังไม่มีประสบการณ์กับเรื่องต่างๆ เหล่านั้น เพราะต่างฝ่ายต่างก็อยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ใหญ่และเด็กรุ่นใหม่จะต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
"โดยธรรมชาติผู้ใหญ่และเด็กรุ่นใหม่มักมีความแตกต่างในเรื่องของความคิด เด็กรุ่นใหม่อาจยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องจ้ำจี้จ้ำไช ทั้งที่ความจริงเกิดขึ้นจากความหวังดี ในขณะที่บางครั้งผู้ใหญ่ก็มองว่าเด็กรุ่นใหม่ขาดสัมมาคารวะไม่ให้เคารพนับถือ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยขึ้น ดังนั้น เราจึงต้องแก้ไขด้วยการทำความเข้าใจ ใส่ใจ และไม่ควรพูดจาซ้ำซากจำเจให้น่าเบื่อหน่าย คำพูดที่ว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นแหละน่าจะตรงที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน คิดว่าหากเราเข้าใจและสามารถปฏิบัติตรงจุดนี้ได้ทุกเรื่องก็จะง่ายขึ้น"
ขณะที่ พล.ท.เอราวัต กุญชร ณ อยุธยา คุณพ่อและคุณปู่วัย 65 ปี ให้คำแนะนำในเรื่องการใช้ชีวิตคู่ว่า การที่เราจะตกลงใช้ชีวิตร่วมกับใครนั้น ควรใช้เวลาศึกษานิสัยใจคอซึ่งกันและกันในระยะหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ เพราะต่างฝ่ายต่างถูกเลี้ยงดูมาคนละอย่าง หากเข้ากันไม่ได้ก็ควรแยกย้ายกันตั้งแต่ยังไม่ได้แต่ง หากดื้อดึงแต่งกันไปก็คงจะอยู่กันไม่รอด แต่ก็อย่าดูใจกันให้นานเกินไป จนอาจทำให้เกิดความเซ็งได้
"หลังจากตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความหนักแน่นและซื่อสัตย์ต่อกัน การอยู่ร่วมกันก็เหมือนลิ้นกับฟันกระทบกระทั่งกันได้ง่าย ฉะนั้น การโต้ตอบกันไปมาอาจทำให้เรื่องบานปลาย และจำต้องอยู่ด้วยกันด้วยความไม่เข้าใจ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะไปตกอยู่กับลูก"
อย่างไรก็ตาม พล.ท.เอราวัต ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากแต่งงานแล้ว ก็มักจะแยกครอบครัวออกไปจากพ่อแม่ พอมีลูกก็มักทิ้งลูกให้พี่เลี้ยงดูแล ซึ่งอาจทำให้เด็กขาดความอบอุ่นได้ ต่างกับให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย ที่จะให้ความรัก ความอบอุ่นเต็มที่ และที่สำคัญไว้ใจได้ 100%
"อย่างครอบครัวผมถึงแม้ลูกๆ จะแต่งงานไปแล้ว แต่ก็ยังปลูกบ้านอยู่ในรั้วเดียวกัน หลานๆ ก็จะมาเล่นด้วยกัน เวลาคนพี่โตมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป น้องๆ ก็จะเลียนแบบสิ่งเหล่านั้นด้วย" คุณปู่กล่าว
เห็นมั้ยล่ะว่าสิ่งดีๆ จากผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่ลูกหลานไม่ควรมองข้ามจริงๆ