ข่าว

ป.ป.ช. รับ 'พิธา'ยื่นบัญชี หุ้นไอทีวี ฉลุย - ส่วนตีความคุณสมบัติขึ้นกับ กกต.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เลขาธิการ "ป.ป.ช." สรุปข้อมูล กรณีการถือหุ้นบริษัทไอทีวี "หุ้นไอทีวี " ของ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ "  เป็นการยื่นมาในชื่อของเจ้าตัว ระบุจำนวน 42,000 หุ้น ย้ำภารกิจของ ป.ป.ช. คือตรวจสอบทรัพย์สิน ส่วนทรัพย์สินจะส่งผลให้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามขึ้นกับ กกต.

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ เลขาธิการ ป.ป.ช.  เปิดเผยว่า  การยื่นบัญชีทรัพย์สิน กรณีการถือหุ้นบริษัทไอทีวีจำกัด(มหาชน)  หุ้นไอทีวี  ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี  เป็นการยื่นมาในชื่อของนายพิธา โดยระบุจำนวนหุ้น  42,000 หุ้น   ไม่มั่นใจว่ายื่นมาในฐานะอะไร ต้องรอการตรวจสอบก่อน ส่วนหุ้นที่ยื่นมาเป็นหุ้นของสื่อมวลชนหรือไม่นั้น  ภารกิจกิจของ ป.ป.ช.มีหน้าที่อย่างเดียว คือการตรวจสอบความถูกต้องการมีอยู่จริงของทรัพย์สิน    เรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช.

 

 

ดังนั้นเมื่อมีอยู่แล้วยื่นไม่ได้ปกปิดก็ถือว่าเรียบร้อย   แต่ถ้าไม่ยื่นทั้ง ๆ ที่เป็นของตัวเอง อันนี้จะเข้าข่ายจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ส่วนทรัพย์สินนั้นจะส่งผลให้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างไร ไม่ใช่หน้าที่ป.ป.ช. แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  สามารถขอข้อมูลมาเป็นหลักฐาน ประกอบการพิจารณาได้ เอกสารที่ยื่นมาเป็นใบหุ้น "หุ้นไอทีวี"  ซึ่งระบุประเภทกิจการอยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจในเรื่องของวัตถุประสงค์ ของบริษัทที่ถือหุ้นว่าได้ระบุไว้หรือไม่ ซึ่งกกต.สามารถขอเอกสารมาเป็นหลักฐานในการพิจารณา  จาก "ป.ป.ช." ได้ 

นายนิวัติไชย  กล่าวว่า  การยื่นบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมเข้ามาภายหลังรับตำแหน่ง ต้องดูข้อเท็จจริง ว่ามีเจตนาอย่างไร ยังไม่สามารถตอบได้ว่า การไม่ยื่นช่วงรับตำแหน่งมีความผิดหรือไม่ แต่กรณีพ้นจากสส.ล่าสุดได้ยื่นแล้ว และยืนยันว่า กรณีที่นายพิธายื่นเพิ่มเติม เข้ามา เป็นการเกิดขึ้นก่อน ไม่ได้มายื่นในช่วงที่มีประเด็น    " การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน นายพิธา กรณีพ้นจากตำแหน่งสส.เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ของสส.ที่พ้นจากตำแหน่ง  คาดว่าจะมีการเปิดเผยได้เร็ว ๆ นี้   "

 


เขา  กล่าวว่า  ที่มีกระแสข่าวว่า นายพิธา  ได้ค้ำประกันการกู้ยืมเงินภายในบริษัทของธุรกิจในครอบครัว กว่า 117 ล้านบาท ว่า ยังไม่แน่ใจว่านายพิธาได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนนี้มาหรือไม่ แต่พบว่ามี 1 รายการ เป็นเรื่องของการค้ำประกันเงินกู้  ขอเวลาไปตรวจสอบก่อนว่าเป็นตัวเดียวกันหรือไม่    ทั้งนี้หากมีการค้ำประกันเงินกู้ แล้วไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือหนี้สินจะมีผลทางกฎหมายหรือไม่  

 

 

 ขอชี้แจงว่าการค้ำประกันไม่ถือเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงสิทธิที่ลูกหนี้หากผิดนัดเจ้าหนี้ก็จะไปเรียกร้องกับผู้ค้ำประกัน ซึ่งอาจจะเกิดหนี้ในตอนนั้น และผู้ค้ำประกันจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงแค่การค้ำประกัน โดยในกรณีนี้ต้องพิจารณาว่าการค้ำประกัน เป็นประเด็นที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ ซึ่งกรณีการค้ำประกันที่ยื่นเข้ามานี้ อาจจะเป็นกรณี ยื่นเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง แต่ต้องขอเวลาไปตรวจสอบอีกครั้ง 

 

 

ส่วนจะต้องเชิญนายพิธา มาชี้แจงหรือไม่   เรื่องนี้เป็นเรื่อง การตรวจสอบบัญชีตามปกติที่ยื่นเข้ามา ซึ่งป.ป.ช.มีการตรวจสอบอยู่แล้ว  และที่สำคัญขนาดนี้ยังไม่เห็นคำร้องที่ยื่นมาให้ตรวจสอบ บัญชีทรัพย์สินหนี้สินของนายพิธา 

.

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก พรรคก้าวไกล

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ