
อย.ไล่จับเยลลี่นำเข้าจากมะกัน-จิงโจ้วิจัยพบเด็กกินสมาธิสั้น
อย.ไล่จับขนมสตรอเบอร์รี่ใส่สีอันตราย "อัลลูร่า เรด" นำเข้าจากออสเตรเลีย-อเมริกา วิจัยเมืองผู้ดีพบทำเด็กสมาธิสั้น 42 องค์กรทั่วยุโรปบีบยกเลิกสีสังเคราะห์ 6 ชนิด ด้านพนักงานขายยอมรับไม่รู้สีพิษเกินมาตรฐาน
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศรายชื่อขนมและอาหารนำเข้าจากต่างประเทศที่ผสมสีหรือวัตถุเจือปนอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนมาก เช่น ขนมเยลลี่สตรอเบอร์รี่ ฟรุตบายเดอะฟุตสตรอเบอร์รี่ นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท วินเนอร์ กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์, อาร์ติฟิเชียล เรด ลิโคโรซ์ เฟลเวอร์ ซอฟท์ ชิววีแคนดี้ นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย โดยบริษัท อินเตอร์ฟู้ด คอนเนคชั่น ลูกอมวีดฟันแคนดี้ กลิ่นสตรอเบอร์รี่ และลูกอมวีดฟันแคนดี้ กลิ่นองุ่น นำเข้าจากจีน โดยบริษัท สแน็คทูโก (ประเทศไทย) จำกัด อาหารไข่ปลาบินสีแดงแช่แข็ง สูตร 2 ของบริษัท เดลิแม็กซ์ จำกัด โดยผู้ประกอบการทั้งหมดถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงินตั้งแต่ 4,000-40,000 บาท และให้เก็บสินค้าออกจากชั้นวางจำหน่าย
ข้อมูลจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ระบุว่า เมื่อปี 2550 สถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาท์แฮมตัน ประเทศอังกฤษ ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องอันตรายของสีผสมอาหารที่ทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หรือไฮเปอร์แอ็กทีฟ โดยมีการนำสีผสมอาหารอัลลูร่า เรด และสีผสมอาหารอื่นอีก 6 ชนิด มารวมกันแล้วผสมเครื่องดื่มให้เด็ก 300 คนบริโภค
เด็กกลุ่มทดลองอายุเฉลี่ย 3-9 ขวบ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ดื่มสีผสมอาหารในระดับเข้ม กลุ่มเด็กที่ดื่มสีอาหารโดยเฉลี่ยตามปกติ และกลุ่มที่ไม่มีสีผสมเจือปนอยู่ในอาหารเลย จากนั้นก็วิเคราะห์พฤติกรรมและวัดระดับกิจกรรมของเด็กก่อนและหลังดื่มกินสีผสมอาหาร ผลปรากฏว่าสามารถยืนยันถึงความเชื่อมโยงพฤติกรรมเด็กกับสีอาหาร โดยแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเด็กที่บริโภคสีอาหารจะมีความหุนหันพลันแล่น อารมณ์เสียง่าย สมาธิสั้น อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ฯลฯ
จากผลวิจัยนี้ทำให้องค์กร 42 แห่งทั่วยุโรปเรียกร้องให้กรรมาธิการยุโรปสั่งระงับการใช้สีผสมอาหารทั้ง 6 ชนิด คือ ตาร์ตราซีน (Tartrazine) ซันเซ็ต เยลโล่ (Sunset Yellow) ควิโนลีน เยลโล่ (Quinoline yellow) ซันเซ็ต เยลโล่ (Sunset yellow) คาร์โมอีซีน (Carmoisine) ปองโซ 4 อาร์ (Ponceau 4R) และ อัลลูร่า เรด (Allura red)
เนื่องจากสีสังเคราะห์อาหารพวกนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษต่อร่างกาย ควรหันไปใช้สีธรรมชาติทดแทน ล่าสุดองค์การมาตรฐานอาหารของอังกฤษแนะนำให้ยกเลิกสีทั้ง 6 ชนิดข้างต้นภายในปี 2552 เพราะกลัวโรคสมาธิสั้นซึ่งจะทำให้เด็กมีความบกพร่องในการเรียนรู้ ดื้อซน ไม่ทำตามคำสั่ง ทำร้ายตัวเอง หรือมีอาการทางร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อหน้ากระตุก กะพริบตาบ่อย ฯลฯ หากไม่แก้ไขจะกลายเป็นคนต่อต้านสังคม หรือกลายเป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ฯลฯ
พนักงานฝ่ายนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของบริษัท อินเตอร์ฟู้ด คอนเนคชั่น ยอมรับว่า ขนมซอฟต์แคนดี้นำเข้าจากออสเตรเลีย บริษัทได้รับสินค้ามาจากซัพพลายเออร์อีกต่อหนึ่ง ที่ผ่านมาจะสั่งเข้ามาวางขายเดือนละประมาณ 500 ห่อ วางขายมาแล้วหลายปี โดยไม่รู้ว่าผสมสีเกินมาตรฐานที่ อย.กำหนด เพราะเห็นเป็นขนมนำเข้าจากออสเตรเลีย ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว หากผู้บริโภคของเขากินได้ก็ไม่คิดว่าจะมีอันตรายอะไร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้เก็บสินค้าตัวนี้ออกจากชั้นวางขายทั้งหมดแล้ว
เจ้าหน้าที่แผนกงานวิเคราะห์วัตถุเจือปนอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมา อย.ได้ส่งตัวอย่างขนมและอาหารนำเข้าจากต่างประเทศมาตรวจหาปริมาณสีผสมอาหารอันตราย พบว่ามีหลายชนิดที่ใช้สีผสมอาหารอัลลูร่า เรด ในปริมาณมากจนเกินค่าความปลอดภัยที่กำหนดไว้ไม่เกิน 7 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม
แม้จะเป็นสีสังเคราะห์ที่ได้รับอนุญาตตามบัญชีโคเด็กซ์ หรือสำนักงานมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านอาหาร (CODEX) ภายใต้องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ก็ตาม แต่สินค้าทั่วไปที่วางขายในไทยนั้น อย.ยังไม่อนุญาตให้ใช้สีสังเคราะห์ชนิดนี้ นอกจากกรณีขออนุญาตเป็นพิเศษเฉพาะรายเท่านั้น นอกจากนี้ในต่างประเทศจะกำหนดให้ระบุรายละเอียดชนิดและปริมาณของสีที่ผสมอย่างชัดเจน ส่วนของไทยระบุหลังซองด้วยข้อความเพียงว่า "เจือสีและแต่งกลิ่นสังเคราะห์" เท่านั้น
แม้ว่าสีผสมอาหารอัลลูร่า เรด ส่วนใหญ่จะพบในขนมนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะผู้ผลิตในไทยไม่นิยมใช้ แต่จะใช้สีแดงสังเคราะห์ประเภทอื่นแทน เช่น ปองโซ 4 อาร์, คาร์โมอีซีน ส่วนสีเหลืองจะใช้ ตาร์ตราซีน, ซันเซ็ต เยลโล่ แต่ทั้งหมดก็อยู่ในกลุ่ม 6 สีอันตรายข้างต้นด้วย
นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า การใช้สีสังเคราะห์เจือปนในอาหารต้องได้รับการอนุญาตจาก อย.แต่ในความเป็นจริงอาหารหรือขนมที่วางขายในท้องตลาดและได้รับอนุญาตจาก อย.นั้นมีจำนวนน้อยกว่าที่ไม่ได้รับอนุญาต ผู้บริโภคต้องตระหนักเรื่องความปลอดภัยในสินค้าที่จะบริโภค ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตว่า โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ โรคข้ออักเสบอาจเกิดจากการกินสารเคมีที่เจือปนในอาหาร แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมหรือบังคับให้อาหารทุกชนิดไม่ใส่สีเคราะห์หรือสารเคมีเจือปน
ด้าน ผศ.เวณิกา เบ็ญจพงษ์ ฝ่ายพิษวิทยาทางอาหาร สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมว่า สีสังเคราะห์หรือกลิ่นสังเคราะห์ที่ใช้ใส่ในขนมหรืออาหารถือเป็นกลุ่มของสารเคมี เพราะส่วนใหญ่จะใส่สารเคมีหลายชนิดผสมกันให้เกิดสีที่ต้องการ แต่ละประเทศจะอนุญาตให้ใช้แตกต่างกันไป สารเคมีเหล่านี้หากได้รับในปริมาณที่ร่างกายขจัดออกไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้ากินทุกวันและกินจำนวนมาก สารเคมีจะไปสะสมในอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดพิษ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัวหรือเด็กเล็ก ร่างกายจะขจัดสารเคมีได้น้อยกว่าคนปกติ ดังนั้นจึงควรเลือกกินขนมและอาหารที่ไม่ผสมสีเข้มจัด ไม่มีลักษณะแวววาว และที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษคือ อาหารหรือขนมที่มีสีเข้มจัดวางขายอยู่ข้างถนน โดยไม่ผ่านการรับรองจาก อย. เช่น ไส้กรอก น้ำซอสเย็นตาโฟ ฯลฯ
จากข้อมูลด้านพิษวิทยาทางอาหารระบุว่า สีสังเคราะห์ผสมอาหารทำอันตรายแก่ร่างกาย 2 ประการ คือ 1.แม้จะเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารได้ แต่หากบริโภคปริมาณมากหรือบ่อยครั้ง สีสังเคราะห์จะไปเคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อาหารย่อยยาก ท้องอืด ท้องเฟ้อ และขัดขวางการดูดซึมอาหาร ตับและไตอักเสบ สุดท้ายนำไปสู่โรคมะเร็ง 2.อันตรายจากสารอื่นที่ปะปนมากับสีสังเคราะห์ เช่น โลหะหนักต่างๆ ทั้งแคดเมียม ตะกั่ว สารหนู ปรอท พลวง โครเมียม ฯลฯ พิษเหล่านี้จะสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง ตับ และไต