"นายรังสิมันต์ โรม" ว่าที่ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อธิบายถึงรากฐานของ "สติกเกอร์ส่วยทางหลวง" ว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นรากฐาน เป็นต้นตอสำคัญของการมี "ส่วยทางหลวง" ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม นั่นคือการมีอยู่ของระบบเส้นสาย ระบบตั๋ว และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในหมู่ข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือข้าราชการอื่นๆ ก็ตาม
ภายใต้ระบบเช่นนี้ ผู้ที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตได้ ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามขอบข่ายความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นๆ แต่กลับวัดกันที่ความสามารถในการหาเงินหรือผลประโยชน์อื่นๆ มาตอบแทนให้กับ "นาย" ที่คอยขายตั๋วให้ หามาให้ได้โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกหรือผิดอย่างไร ไม่ต้องสนใจว่าวิธีการที่ทำมันจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใครบ้าง
สุดท้ายแล้วช่องทางหาเงินและผลประโยชน์ที่ข้าราชการเหล่านี้สามารถอ้างใช้อำนาจของตัวเองกอบโกยมาได้ง่ายที่สุดก็หนีไม่พ้นธุรกิจมืดนั่นเอง
"ถ้าระบบแบบนี้ยังมีอยู่ การเก็บส่วยก็ไม่มีวันที่จะหมดไป ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่กำลังจัดตั้งขึ้นจะต้องจัดการให้ได้โดยเด็ดขาด" "นายรังสิมันต์ " ระบุ
"นายรังสิมันต์ " บอกต่อว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด ชื่อว่า "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ด้วยหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ที่จะต้องควบคุมการปฏิบัติงานของข้าราชการในทุกกระทรวง ทุกกรม รวมถึงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจทั้งประเทศ นี่คือภารกิจสำคัญในการปฏิรูประบบราชการที่ทั้ง "นายพิธา" และ "พรรคก้าวไกล" จะต้องบรรลุผลให้ได้ภายในอายุการทำงานครั้งนี้
"ถึงเวลาลอกสติกเกอร์ที่ติดประจานความโสมมของประเทศนี้ แล้วชำระล้างเสียใหม่ให้กลายเป็นประเทศที่ทั้งข้าราชการและประชาชนสามารถได้ดิบได้ดีไปด้วยกันผ่านการปฏิบัติต่อกันอย่างสุจริตซื่อตรง มิใช่เป็นนาบนหลังคนให้ใครมาเก็บเกี่ยวกินโดยเบียดเบียนคนอื่นๆ ในสังคมอีกต่อไป" "นายรังสิมันต์ " กล่าวในที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง