ข่าว

อบต.บ่อทอง เปิดแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่
"พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ทองคำ"

อบต.บ่อทอง เปิดแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ "พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ทองคำ"

17 มี.ค. 2552

ในยุคที่ราคาทองคำพุ่งพรวดทะลุเพดานเช่นนี้ อะไรที่เกี่ยวข้องกับทองก็ล้วนเป็นที่น่าสนใจทั้งสิ้น

 แม้แต่การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาความรู้ธรณีวิทยาสู่ครูวิทยาศาสตร์รุ่นที่ 16 จ.ปราจีนบุรี ก็มีการนำคณะครูไปทัศนศึกษาชมพิพิธภัณฑ์บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี

 "บ่อทอง" แห่งนี้ มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงมีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งเสริมให้เป็นอุทยานการเรียนรู้เชิงธรณีวิทยาเป็นอย่างยิ่ง !!

 หากจะสืบหาความเป็นมาของบ่อทองแห่งนี้ ทางหนึ่งสามารถหาอ่านได้จากเอกสารภายในพิพิธภัณฑ์ แต่อีกทางก็สามารถหาได้จาก นายพิณ แก้วพันธ์มา อายุ 80 ปี สมาชิก อบต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี ซึ่งเคยเป็น "คนงาน" ในบ่อทองแห่งนี้มาก่อน
 นายพิณเล่าย้อนความเป็นมาของบ่อทองแห่งนี้ว่า เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2416 โดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระปรีชากลการ (สำอาง อมาตยกุล) ซึ่งจบการศึกษาทางวิศวกรรมมาจากประเทศสกอตแลนด์ ไปทำเหมืองแร่ทองคำที่เมืองกบินทร์บุรี

 ต่อมาในปี พ.ศ.2419 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระปรีชากลการเป็นผู้ว่าราชการเมืองปราจีนบุรี โดยตามเอกสารเศรษฐกิจธรณีวิทยาเล่มที่ 25 พบว่า การทำเหมืองที่กบินทร์บุรีเป็นการขุดหลุมตามสายแร่ไปทั้งความลึก และตามทางยาว

 เหมืองทองคำแห่งนี้ถูกขุดจนกลายเป็นบ่อน้ำขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 50 เมตร มีชื่อว่า "บ่อสำอาง" และเมื่อได้แร่ทองคำแล้วก็จะนำมาถลุงด้วยการเอาเข้าเตาหลอม ซึ่งยังปรากฏหลักฐานอยู่บริเวณบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงปัจจุบัน

 อย่างไรก็ตาม หลังจากทำเหมืองได้ไม่นาน พระปรีชากลการก็เกิดคดีความฟ้องร้องขึ้น และในที่สุดวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2421 ท่านก็ถูกจับกุม และถูกประหารชีวิตที่เมืองปราจีนบุรี เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ พ.ศ.2422

 มีเรื่องเล่ากันว่า ไพร่พลในสังกัดพระปรีชากลการเกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำแร่ทองคำบางส่วนหนีไปหล่อที่บริเวณเขาน้ำสร้างจั้น แต่ด้วยความเร่งรีบเบ้าหลอมจึงแตก ทำให้ทองคำไหลแทรกซึมไปทั่วบริเวณ

 สิ้นยุคของพระปรีชากลการแล้ว ก็มีบริษัทต่างชาติ คือ The Kabin Syndicate of Siam และบริษัท Societe des Mines de Kabin เข้ามาทำเหมืองอุโมงค์เพื่อขุดหาทองต่อ โดยปัจจุบันยังคงปรากฏหลักฐานให้เห็น เช่น บ่อมะเดื่อ บ่อพอก เป็นต้น

 แต่ต่อมาทั้งสองบริษัทหยุดทำเหมืองไปโดยไม่ทราบสาเหตุ คาดว่าอาจเป็นเพราะสินแร่หมดไป ประกอบกับอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเกิดความวุ่นวาย และเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก
 หลังจากนั้นกรมโลหกิจ (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่) ก็จัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ เมื่อปี พ.ศ.2493 และทำการผลิตแร่ทองคำอีกครั้งหนึ่งในระหว่างปี พ.ศ.2493-2500 ได้ทองคำรวมทั้งสิ้น 55 กิโลกรัม

 ต่อมา เมื่อมีการเลิกทำเหมือง แต่คนรุ่นหลังก็ยังขุดพบทองคำอยู่เป็นระยะ เช่น เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2524 นายฉลอง เสนาะถ้อย ไปทำนาก็พบก้อนทองคำ และเมื่อลูกชายของเขาออกไปเลี้ยงควายที่กลางทุ่งก็ยังพบทองคำอีก 1 ก้อน

 นายทองพูล คำตา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.บ้านนา อ.กบินทร์บุรี ไปตรวจสอบพบว่าเป็นความจริง ทำให้คนที่ทราบข่าวเกิดอาการตื่นทอง แห่มาขุดทองเป็นจำนวนมาก ได้กันมากบ้างน้อยบ้าง หรือบางรายก็ไม่เคยได้เลย แต่จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนขุดหาทองอยู่

 ส่วนซากปรักหักพังของกิจการทำเหมืองทองคำก็ยังคงพบเห็นได้ในพื้นที่หมู่ 5 ในความดูแลรับผิดชอบของ อบต.บ่อทอง โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ ร่วมกับจังหวัดปราจีนบุรี และ อบต.บ่อทอง ได้ฟื้นฟูสภาพเหมืองแร่ทองคำขึ้นมาใหม่

 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำเป็น "พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ทองคำ" และปรับสภาพภูมิทัศน์ให้เป็นศูนย์วัฒนธรรม โดยรวบรวมวัสดุ เครื่องมือเครื่องใช้ไว้ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด ในพิพิธภัณฑ์จะมีตัวอย่างหินแร่ทองคำ หัวฉีดหาแร่ เครื่องร่อนทองแบบชาวบ้าน ชั้นดิน-ชั้นหินที่พบแร่ วิถีชีวิตชาวบ้านกับการร่อนหาแร่ จำลองแบบการทำเหมืองทองคำที่ขุดอุโมงค์หาสายแร่ที่บ้านบ่อทอง ก่อนจะใส่สายพานลำเลียงแร่มาที่โรงโม่

 อดีตคนงานเหมืองทองคำเมื่อหลายสิบปีก่อนบอกว่า ทุกวันนี้รู้สึกภูมิใจมากที่ได้ย้อนอดีตให้นักท่องเที่ยว ตลอดจนนักเรียน และครูอาจารย์ฟังตลอดแบบไม่มีวันหยุดราชการ

 แม้จะเหนื่อย แต่ก็สุขใจที่ได้มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ที่เป็นเครื่องยืนยันว่า เมืองไทยไม่ได้มีดีแค่เมืองอู่ข้าวอู่น้ำอย่างเดียว แต่ใต้ผืนดินถิ่นสยามก็เคยมี "ทองคำ" ที่คนทั่วโลกต่างใฝ่ฝันที่จะครอบครองกันทั้งนั้น

"มานิตย์  สนับบุญ"