ข่าว

สวมรองเท้าคนอื่น

สวมรองเท้าคนอื่น

04 เม.ย. 2553

ผมเป็นคนชอบ “ดูหนัง” ครับ หาโอกาสดูเท่าที่จะทำได้ทั้งฟิล์มไทยและเทศ เห็นสคริปต์และซึมซับบทมาก็เกือบทุกแนวทั้งตลก เศร้า ลึกลับ ไซไฟ สืบสวน บางเรื่องดูแล้วดูอีก ไม่ต่ำกว่าห้ารอบก็เคย

 มีอยู่แนวหนึ่ง "คอนเซ็ปต์” ไม่หวือหวา ออกแนวธรรมดาด้วยซ้ำ แต่ดูทีไรก็ให้ข้อคิดทุกที

 หนังที่ว่าจะดีไซน์ให้พระเอกนางเอกเกิดปาฏิหาริย์กะทันหัน หรือไม่เทวดาก็กลั่นแกล้งให้ต้องสลับร่าง หญิงเป็นชาย ชายกลายไปเป็นหญิง

 แรกๆ ต่างก็รับไม่ได้ โวยวายเอะอะอึดอัดไม่เป็นตัวเอง แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ ปรับตัว จนหลังๆ เริ่มเข้าถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย เรียนรู้คำว่า “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ก่อนกลับไปสู่ร่างเดิมอีกครั้ง

 ทัศนะของผม หนังหรือละครคือผลสะท้อนจากชีวิตจริง อินไซด์คนสร้างคงอยู่บนพื้นฐานง่ายๆ มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจคนอื่น ยึดมั่นตัวตนเป็นที่ตั้ง เห็นโลกด้านเดียว ละเลยความรู้สึกของอีกฝ่าย มองความต่างเป็นศัตรู

 ที่เห็นบ่อยๆ วัยรุ่นจะมองความหวังดีของพ่อแม่เป็นการบ่น การตักเตือนคือการล่วงเลยความเป็นส่วนตัว ขณะที่ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจมีทัศนคติลำเอียง มองพฤติกรรมบางอย่างของเด็กว่าไร้สาระ สิ่งที่เราไม่ได้ทำในวัยเด็ก แต่เด็กวัยนี้ทำคือความไม่เหมาะสม  

 ในสังคมคนทำงาน ความขัดแย้งระหว่างแผนกก็เกิดได้ง่ายเช่นกัน บัญชีไม่เข้าใจการตลาด ฝ่ายขายคิดคนละมุมกับฝ่ายปฏิบัติการ แผนกจัดซื้อเห็นแย้งกับแผนกโลจิสติก

 เมื่อปัญหามากเข้าๆ “เวิร์กช็อป” ประเภทให้สลับร่างเปลี่ยนบทบาทกัน จึงถูกดีไซน์จากหลายองค์กร โดยมีหลักใหญ่ใจความไม่แตกต่าง เน้นให้พนักงานเข้าใจคนอื่น ลองสวมรองเท้าเดียวกับเขา

 ที่สำคัญ ต้องเปลี่ยนเป้าหมาย คลายอัตตา การชนะใจตัวเองยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะใดๆ ทั้งปวง

 แต่น่าเสียดายที่คอร์สเหล่านี้เป็นเพียงสั้นๆ จะสำเร็จหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคน คนที่พร้อมจะปรับตัว เปลี่ยนทัศนคติ คือคนที่องค์กรอยากได้ที่สุด

 นานมากแล้ว เคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาปรึกษาด้วยหัวคิดที่น่าชมเชย เจ้าตัวเกิดมาไม่เคยลำบาก ใช้เงินได้คล่องมือ รถเมล์ไม่เคยต้องนั่ง เสื้อผ้านิยมแต่แบรนด์เนม

 ความที่มีทุนเดิมสูง ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี จะใช้อย่างไรก็ไม่มีใครเดือดร้อน แต่จิตสำนึกสั่งว่าอยากเปลี่ยนแปลงบ้าง เขาต้องการทำศึกสงครามกับความฟุ้งเฟ้อ เพราะอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน 

 นาทีนั้นผมคิดแผนพิลึกๆ บอกให้น้องลองขออนุญาตพ่อแม่ไปอยู่หอเพื่อนสักเดือนสองเดือน เลือกที่สนิทๆ ฐานะทางบ้านไม่ร่ำรวย มีเงินใช้ค่อนข้างจำกัด

 ครั้งแรกไม่คิดว่าเขาจะทำจริง แต่ผ่านไปสักระยะ เด็กคนนี้กลับมารายงานผลแบบผมต้องตบมือให้ดังๆ หมอนี่เริ่มขึ้นรถเมล์เป็น กินอาหารข้างทางได้ ถ้าขยันหน่อยก็ซื้อที่ตลาดมาทำกินเอง กินไม่หมด ก็แช่ตู้เย็น อุ่นให้ร้อน แล้วกินต่อ ยิ่งกว่านั้นเขายังกล้าฉีกวิธีคิดเดิมๆ ไม่เน้นแบรนด์ หันมาใส่เสื้อคุณภาพราคาพอดีๆ

 ก่อนจากกัน ผมถามน้องเขาว่ารู้มั้ย อะไรทำให้เขาเปลี่ยน?

 คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ ครับ  “เมื่อผมลองสวมรองเท้าเดียวกับเขา ทำตัวให้กลมกลืน ไม่คิดแตกต่าง ไม่ทำตัวต่อต้าน ที่สุดก็ปรับตัวสำเร็จ อยู่ได้ไม่แปลกแยก”

 เสื้อสีต่างๆ จะลองดูบ้างมั้ยครับ แนะนำให้สวมรองเท้าของอีกฝ่าย เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้นครับ…

 ชัยพล กฤตยาวาณิชย์
 [email protected]