'สารวัตรกานต์' ตำรวจคลั่ง อาการสาหัส เลือดออกในช่องท้อง

ภายหลังตำรวจ สามารถควบคุมตัว ตำรวจคลั่ง พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ สังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าว สันติบาล ที่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ใช้อาวุธปืน กราดยิงอยู่ภายในบ้านพัก ย่านสายไหม กินเวลายาวนานถึง 26 ชั่วโมง กว่าจะสยบความคลุ้มคลั่งของ "สารวัตรกานต์" ได้ โดยได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง
 

พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ซึ่งเดินทางมาตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เปิดเผยว่า สารวัตรกานต์ ได้รับบาดเจ็บที่ร่างกาย สองถึงสามแห่ง โดยถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณข้อพับแขนซ้าย หน้าอกซ้าย ต้นขาด้านบนซ้าย อาการสาหัส อยู่ระหว่างการช่วยเหลือของทีมแพทย์ ขณะนี้ สัญญาณชีพยังไม่คงที่ แพทย์ยังอยู่ระหว่างการรักษา ในห้องฉุกเฉิน ซึ่งแพทย์ประเมินอาการว่า อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากอาการสาหัส มีเลือดออกในช่องท้อง   

สำหรับการตัดสินใจบุกเข้าจับกุมตัว เนื่องจากผู้บัญชาการระดับสูงและหน่วยแพทย์ ได้ประเมินสถานการณ์ และสภาวะจิตใจของ สารวัตรคลั่ง แล้ว พบว่า ค่อนข้างเบี่ยงเบน ไม่ตอบสนองกับการเจรจาขอให้มอบตัว เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อบุคคลภายนอก จึงตัดสินใจควบคุมตัว โดยอาศัยจังหวะที่ผู้ก่อเหตุไม่ระวัง โดยเจ้าหน้าที่ได้เริ่มจากการล้อมเจรจา และใช้แก๊สน้ำตาสองครั้ง ทุกครั้งผู้ก่อเหตุได้ยิงปืนสวนกลับมา จนเมื่อช่วงเช้า มีเจ้าหน้าที่ถูกยิงเข้าที่หมวกนิรภัย จึงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบการตัดสินใจเข้าปฎิบัติการครั้งนี้

ส่วนการเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บวัตถุพยาน พิสูจน์ปลอกกระสุน ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบอาวุธปืนลูกโม่ 1 กระบอกบริเวณชั้น 2 ของบ้าน แต่ยังไม่ยืนยันว่า เป็นปืนของทางราชการหรือไม่ ส่วนอีกกระบอกหนึ่งนั้น ยังหาไม่พบ ขณะที่อุปกรณ์ยาเสพติด ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นของผู้ก่อเหตุจริงหรือไม่ 

ขณะเดียวกันได้กำชับพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ให้ตรวจสอบบ้านในบริเวณเดียวกันที่ได้รับความเสียหาย และอาจขอให้เป็นพยาน เพื่อไปเป็นข้อมูลสำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 

พล.ต.ต.อรรถพล กล่าวเพิ่มเติมถึงข้อสงสัย ที่ตำรวจชั้นสัญญาบัตรสามารถเก็บเครื่องกระสุนไว้ที่บ้านพักส่วนตัวได้มากขนาดไหน ว่า โดยทั่วไปจะได้รับอนุญาตตามประเภทอาวุธปืนที่ครอบครอง แต่สำหรับกรณีของสารวัตรกานต์ ผู้ก่อเหตุรายนี้ ยังต้องขอตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน

ทั้งนี้ ภายหลังเหตุการณ์สงบลง เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ  EOD ได้เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุ  และเริ่มมีประชาชนบางส่วนทยอยเดินทางกลับเข้าพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ ทยอยพาประชาชนที่อพยพออกจากพื้นที่กลับบ้าน โดยนำกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุกลับเข้ามาเป็นกลุ่มแรกๆ ส่วนกลุ่มอื่นจะเริ่มทยอยมาในช่วงเย็นเพิ่มเติม