ข่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งเร่งตรวจสอบ คดี 'ทุนมินลัต' นายหน้าค้าอาวุธ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งเร่งตรวจสอบ คดีเครือข่าย 'ทุนมินลัต' นายหน้าค้าอาวุธ ผู้ต้องหาค้ายา ลั่นหากพบบกพร่อง หรือมีการช่วยเหลือใคร ดำเนินการเด็ดขาด

จากกรณีที่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์  สว.สส.สน.พญาไท มีการชี้แจงขั้นตอน ในการดำเนินคดีกับเครือข่าย “ทุนมินลัต” พ่อค้าอาวุธ และ ผู้ต้องหาคดีค้ายารายใหญ่ และปรากฎว่า มีดราม่าเอกสารหลุด รวมถึงดราม่าเรื่องการช่วยเหลือกันเกิดขึ้นนั้น

 

ล่าสุดวันนี้ (11 มีนาคม 2566 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงคดีดังกล่าวว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ (ผบ.ตร.) ทราบข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้สั่งการไปยังจเรตำรวจแห่งชาติ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว ในการทำสำนวนคดี รวมถึงความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบว่ามี ก็ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งในเรื่องอาญา วินัย และปกครอง 

ส่วนกรณีที่มีเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีหลุดมานั้น ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ว่าเอกสารที่หลุด เป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่มีในเอกสาร เป็นข้อเท็จจริงตามที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่ เนื่องจากเนื้อหาที่ถูกเปิดเผยนั้น เป็นขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่ทันเสร็จสิ้น  ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้รับรายงานจากพล.ต.ท.ธิติ ว่ามีเหตุการณ์เหมือนที่บรรยายในหนังสือฉบับดังกล่าว 

    

 

สำหรับคดี เครือข่าย 'ทุนมินลัต' เริ่มจาก ช่วงที่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์สว.สส.สน.พญาไท ดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. สืบพบว่าบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนที่ทำผิด จึงยื่นขอหมายจับ จากนั้นศาลเพิกถอนหมายจับ ต่อมาเมื่อวันที่  4 ตุลาคม 2565 มีการเข้าร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3  กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ซึ่งมีการตรวจสอบแล้ว เห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงได้เสนออัยการสูงสุด ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ได้มอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแทน อัยการสูงสุด โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วยเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 

    

ต่อมาหลังจากมีประเด็นคดี “ทุนมินลัต”เมื่อครั้งก่อน ผบ.ตร.ได้เรียก ผบช.ปส. และผบก.ปส.3 มากำชับให้ควบคุมกำกับดูแลการทำงานของพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ให้ทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ ไม่ละเว้นหรือช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งให้สนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนในด้านต่างๆที่จำเป็นอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ และวันนี้ได้สั่งการ ผบก.ปส.3 รายงานความคืบหน้าในทางคดี ในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดี มาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน  

 

ซึ่งผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานที่ปรากฎตามข้อเท็จจริงทุกประการ ไม่ได้มีการประวิงสำนวน เพื่อช่วยเหลือใครแต่อย่างไร และ มีการส่งรายงานเพิ่มเติมตามคำร้องขอของอัยการสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางคดีมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่แล้วเสร็จ  อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคดีนี้ ตำรวจร่วมกับอัยการ ทำคดี ทำแบบคณะทำงาน 

 

ส่วนการโยกย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์ เป็นการแต่งตั้งตามวาระ ไม่ได้ย้ายเพราะมีสาเหตุมาจากคดี ซึ่งอำนาจการแต่งตั้งตำรวจระดับ สว.-รอง ผกก. เป็นอำนาจของ ผบช. ซึ่งพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความรู้ความสามารถ ในการทำงาน หลักเกณฑ์อาวุโส ซึ่งการโยกย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์  ถือว่าไม่ได้เป็นกลั่นแกล้ง เพียงแต่เป็นเรื่องของความเหมาะสม

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ