ข่าว

"ผบ.ทร." รับประเมินสถานการณ์ช่วยเหลือกำลังพลของ "เรือหลวงสุโขทัย" ผิดพลาด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ผบ.ทร." ยอมรับประเมินสถานการณ์ขณะเข้าช่วยเหลือกำลังพลของ "เรือหลวงสุโขทัย" ผิดพลาด จนเกิดเรืออับปางลงกลางอ่าวไทย พร้อมยอมรับเสื้อชูชีพไม่เพียงพอกำลังพลบางส่วนที่ร่วมเดินทางไปร่วมงาน 100 ปีเสด็จเตี่ย ที่หาดทรายรี

     

พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)  พร้อมด้วย พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.)  แถลงข่าวความคืบหน้าเหตุการณ์ "เรือหลวงสุโขทัย"อับปาง  เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา เวลา 23.30 น. ห่างจากท่าเรือน้ำลึกบางสะพานออกไป 20 ไมล์ทะเล โดย"เรือหลวงสุโขทัย"  มีภารกิจนำกำลังพล ไปร่วมกิจกรรมครบรอบ 100  ปีพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ จ.ชุมพร โดยเดินเรือไปพร้อมกับเรือหลวงกระบุรี

เมื่อไปถึงบริเวณหาดทรายรี บริเวณอ่าวชุมพร เรือหลวงทั้ง 2 ลำ ไม่สามารถทอดสมอได้ จึงได้ประสานไปยังกองทัพเรือภาค 1 ขอเปลี่ยนไปจอดที่ท่าเรือน้ำลึกบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเรือหลวงกระบุรีไปถึงก่อน ซึ่งสภาพอากาศขณะนั้น มีคลื่นลมแรงมาก คลื่นสูงประมาณ 3-4 เมตร ส่งผลให้"เรือหลวงสุโขทัย" ประสบปัญหา

จากการรับทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทราบว่า มีน้ำเข้าเรือในปริมาณมาก เริ่มเข้าบริเวณหัวเรือ ทำให้เครื่องจักร และ เครื่องจักรช่วยเสียหาย    ทางกำลังพลได้พยายามสูบน้ำออกตามขั้นตอน แต่ไม่ทันกับน้ำที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถสู้กับน้ำทะเลที่เข้าเรือได้   แม้ว่าเรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นมามีระบบผนึกน้ำ เป็นคอมพาสเม้นท์ เพื่อป้องกัน แต่น้ำก็เข้าเรือ จนทำให้เครื่องยนต์ซ้ายดับ เครื่องคุมใบจักรเสีย จนไม่สามารถควบคุมเรือได้ จากนั้นน้ำได้เข้าท่วมเรือจนไฟฟ้าดับทั้งหมด และสูญเสียเครื่องจักรใหญ่ เรือจึงลอยลำกลางทะเลแบบไร้เครื่องยนต์ และมีน้ำเข้ามาเรื่อยๆ

ขณะนั้นทาง"เรือหลวงสุโขทัย"  ได้ร้องขอความช่วยเหลือไปยัง กองทัพเรือ ภาคที่ 1 จึงมีการส่งเรือหลวงกระบุรี ที่อยู่ท่าเรือบางสะพาน ห่างไป 20 ไมล์เข้าช่วย และ ทางกองทัพเรือ ได้ให้ เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงภูมิพล ออกไปยังพื้นที่ พร้อมเครื่องบินลาดตระเวน  ขณะเดียวกันก็มีเรือสินค้า และ เรือบรรทุกน้ำมัน เข้าให้ความช่วยเหลือกำลังพลด้วย

ช่วงแรกของสถานการณ์ที่กองทัพเรือ วางแผน จะส่งเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ ช่วยสูบน้ำออกจาก"เรือหลวงสุโขทัย" แต่ปริมาณน้ำมาก  ไม่สามาถรถติดตั้งเครื่องสูบน้ำได้ รวมทั้งนำเรือกระบุรี เข้าเทียบช่วยกำลังพลก็ทำได้ยาก 

 

 พลเรือเอกเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ

ในส่วนการช่วยเหลือกำลังพล บนเรือที่เกิดเหตุ กำลังพลทุกนาย จะมีเสื้อชูชีพประจำตัว ทุกคน และมีแพชูชีพ สำหรับขนย้ายกำลังพล 1 แพ บรรจุได้ 15 คน มีทั้งหมด 6 แพ และมีแพ จากเรือหลวงกระบุรีเสริมอีก แต่จากกระประเมิน พบว่า เรือเอียง 60 องศา คงที่ จึงยังไม่ลำเลียงคนออก แต่ปรากฎว่าน้ำเริ่มเข้าเรือเพิ่มอีก ทำให้เริ่มจมจากด้านท้าย และเกิดเหตุชุลมุนขึ้น กำลังพลบางส่วนลงแพ บางส่วนกระโดดลงน้ำ พยายามว่ายไปที่เรือหลวงกระบุรี ที่ส่งบันไดลิงลงมาช่วย นอกจากนี้ยังมีการส่งเรือเล็กลงน้ำเข้าช่วยเหลือด้วย

ซึ่งในช่วงนั้น สามารถช่วยเหลือกำลังพลได้ 75 นาย มีหลายนาย บาดเจ็บ ศีรษะแตก แขนขาหัก จึงต้องมีการประสานมายังชายฝั่งขอนำเรือหลวงกระบุรีเข้าฝั่งเพื่อนำกำลังพลไปเข้ารับการรักษาปฐมพยาบาล จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น จึงเริ่มปฏิบัติหารค้นหากำลังพลที่สูญหาย อีก 30 คน ใน วันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือ จะต้องรายงานเหตุการณ์ ไปถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับตั้งแต่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อทำการสอบสวนข้อเท็จจริง ตามกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องข้อเท็จจริง ที่ว่าเสื้อชูชีพไม่พอสำหรับกำลังพลบนเรือ ที่จะต้องหาตรวจสอบ ข้อเท็จจริงให้ได้ ยืนยันว่ากองทัพเรือ จะไม่มีการปกปิดข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จะสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา

สำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้นปัจจุบัน กองทัพเรือ ได้จัดทั้ง ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพื่อเป็นสถานที่ให้ญาติของกำลังพลที่สูญหาย ติดตามข้อมูลความคืบหน้าในการค้นหา และ ดูแล ครอบครัวของกำลังพล อีกทั้งตั้งศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ส่วนหน้า เพื่อประสานงานเกี่ยวกับการค้นหา และช่วยเหลือกำลังพลที่ประสบภัย ทั้งผู้ที่ยังมีชีวิต และ เสียชีวิต โดยศูนย์ดังกล่าวจะเปิดไปจนกว่าภารกิจนี้จะเสร็จสิ้น 

 

พลเรือเอกชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ

 

ด้าน พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ กล่าวต่อจากผู้บัญชาการทหารเรือ ว่า หลังจากเรือจมเราได้ส่งเรือหลวงกระบุรี เรือทรัคค์ 2 ลำ และเรือบรรทุกน้ำมันเข้าไปให้การช่วยเหลือ แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อคืนวันที่ 18 ธ.ค. ต่อเนื่องเช้าวันที่ 19 ธ.ค. บริเวณดังกล่าว มีคลื่นลมแรง ทำให้เรืออับปาง  กำลังพลจำเป็นต้องสละเรือ

ต่อมาเช้าวันที่ 19 ธ.ค. ในทะเลมีเรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงนเรศวร เรือน้ำมัน เรือประจวบ 4 เรือประจวบ 5 ค้นหาตามทิศทางของกระแสน้ำ กระแสลม และเริ่มต้นการค้นหาตลอดเวลาตั้งแต่เรือจม ห้วงเวลาสำคัญ คือช่วงเวลากลางวัน กองทัพเรือ ได้ประสานเฮลิคอปเตอร์ เข้ามาร่วมในการค้นหา โดยขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพอากาศ โดยดำเนินการทั้งกลางวันและกลางคืน และเพิ่มเรือมาร่วมในการค้นหา โดยกองทัพอากาศเพิ่มอากาศยานอีก 2 เครื่อง

เสนาธิการทหารเรือ กล่าวต่อว่า การดำเนินการค้นหามาจนถึงวันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. เราได้ตรวจพบผู้รอดชีวิต 1 นาย ลอยห่างจากจุดที่เรือจมประมาณ 60 ก.ม. หรือ 30 ไมล์ทะเล หลังจากนั้นได้เจออีก 6 นาย ซึ่งได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบ และจะยังดำเนินการค้นหาลูกเรือที่เหลืออยู่ 

 

สำหรับขณะนี้พบกำลังพลแล้ว 82 นาย ยังเหลือในน้ำและที่ยังไม่พบอีก 23 นาย โดยพล.ร.อ.ชลธิศ กล่าวเพิ่มเติม และแสดงความเสียใจ พร้อมยืนยันว่า กำลังพลที่พบเพิ่ม 7 นาย วันนี้เสียชีวิต 6 นาย และรอดชีวิต 1 นาย ผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบอัตลักษณ์เพิ่มเติมต่อไป  ส่วนผู้รอดชีวิต คือ พลทหาร ชนัญญู แก่นศรียา สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน 

สำหรับกลุ่มที่พบวันนี้ เจอลอยคอที่อำเภอปะทิว 30 ไมล์ทะเลหรือ 60 กิโลเมตร ซึ่งวันนี้ยังเจอเศษซากอุปกรณ์ในเรือบริเวณดังกล่าวด้วย  สังเกตุได้ว่าทิศทางจะไปทางใต้ เนื่องจากทิศทางลมและคลื่น แต่ปัจจุบันต้องอัพเดตสภานการณ์ เพราะคลื่นลมเบาลง ทิศทางการลอยอาจจะช้าลง ต้องเร่งค้นหาช่วงนี้ต่อเนื่อง อีก 23 นาย 

ทั้งนี้กองทัพเรือ ขอขอบคุณกองทัพเรือมิตรประเทศ ที่เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งกองทัพเรือสหรัฐฯ อังกฤษ มาเลเซีย และหน่วยงานต่าง ๆอีก ทั้ง ศรชล. กรมเจ้าท่า กรมประมง ที่แสดงเจตจำนงให้ความช่วยเหลือ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ