
โฆษกตร.ยืนยันตร.ยังจับคนร้ายยิงอาร์พีจีไม่ได้
"พท."จี้รบ.อย่ารีบสรุปเหตุยิงอาร์พีจีเป็นฝีมือคนเสื้อแดง เชื่อฝีมือคนรบ.หวังสร้างสถานการณ์ต่ออายุพรบ.ความมั่นคงฯ แถมปูดเจ้าของรถคันก่อเหตุมีความใกล้นายตร.ใหญ่ในนครบาล จี้จนท.เร่งคว้านหาตัว
วันที่ 22 มีนาคม เวลา 16.00 น.พ.ต.ท. ชำนาญ คงเมือง สว.สส.สน.สำราญราษฎร์ เปิดเผยความคืบหน้าคดีคนร้ายยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมกลางดึกวันที่ 20 มี.ค.ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำคราบเลือดจากเบาะรถที่คาดว่าน่าจะเป็นของคนร้ายให้กองพิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจหาดีเอ็นเอของคนร้ายแล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับรถคันดังกล่าวสืบทราบว่าเป็นรถหลุดจำนำในบ่อนจากภาคใต้ คาดว่าน่าจะถูกส่งต่อมาหลาย ๆ ทอด
สว.สส.สน.สำราญราษฎร์กล่าวว่า สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดอาร์พีจีทราบชื่อคือนายศักดิ์ หาญเจริญ เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาด สังกัดเขตพระนคร ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลกลาง ขณะนี้ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปทำงานตามปกติแล้ว สำหรับคนร้ายยังอยู่ในระหว่างการติดตามจับกุม และขณะนี้ยังไม่มีการนำตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำแต่อย่างใด
โฆษกตร.ยืนยันตร.ยังจับคนร้ายยิงอาร์พีจีไม่ได้
พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวถึงคดีคนร้ายลอบยิงอาร์พีจีเข้าไปในกระทรวงกลาโหมว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.เข้าไปดูแลคดีนี้ด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด ทั้งการสอบสวนและการตรวจสอบพยานหลักฐานเท่าที่ได้ติดตามความคืบหน้าจาก ศปก.ตร. ทราบว่าคดีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจน ฝ่ายสืบสวนต้องเร่งติดตามคนร้าย เพื่อเปิดโปงว่าคดีนี้มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่อย่างไร
ส่วนกรณีที่ ศอ.รส. ออกมาระบุว่าสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คนแล้ว พล.ต.ท.พงศพัศกล่าวว่า เรื่องนี้ตำรวจยังไม่มีข้อมูล ไม่ทราบว่า ศอ.รส.เป็นผู้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้หรือไม่ เพราะเป็นการสืบสวนทางลับ อย่างไรก็ตามการสอบสวนเป็นหน้าที่ตำรวจที่ต้องให้ความกระจ่างแก่สังคมว่าคนร้ายเป็นใคร หรือมีเบื้องหลังหรือไม่ ส่วนคดีระเบิดอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตำรวจยังจะตรวจสอบต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าอาวุธที่ก่อเหตุเป็นอาวุธสงครามเป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นของคนมีสี พล.ต.ท.พงศพัศกล่าวว่า ใครจะทำก็ตามเป็นหน้าที่ตำรวจจะต้องเปิดโปงออกมา ต้องดูพยานหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับใครอย่างไร
"พท."จี้รบ.อย่ารีบสรุปเหตุยิงอาร์พีจีเป็นฝีมือคนเสื้อแดง
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเหตุยิงเครื่องยิงจรวด อาร์พีจี เข้าใส่กระทรวงกลาโหม ในคืนของวันที่ 20 มี.ค.53 และมีพยานหลักฐานทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ และต่อมาโฆษก ศอ.รส. ได้ออกมาแถลงสรุปว่า น่าจะเป็นการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกิดจากความขัดแย้งกันในแนวทางการต่อสู้นั้น ว่า ตนเห้ว่าศอ.รส.ได้สรุปผลเร็วเกินไป ทั้งที่ยังไม่มีการตรวจสอบและพิสูจน์พยานหลักฐานที่ชัดเจน เรื่องนี้ มีพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุมาก การสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดจึงไม่ใช่เรื่องยาก ข้อเท็จจริงเท่าที่ทราบเบื้องต้น พบว่ารถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ ที่ใช้ก่อเหตุ ใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอม จากการตรวจสอบจากสายข่าว พบว่าเป็นรถที่เจ้าของเดิมเสียพนันในบ่อนที่กรุงเทพฯ จากนั้นมีการจำนำและซื้อขายกันมา 5 ทอดแล้ว โดยคนสุดท้ายที่ครอบครองชื่อแล่นว่า โก้ เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กับนายตำรวจใหญ่ในนครบาล ซึ่งบางครั้งก็ไปนั่งอยู่หน้าห้องนายตำรวจใหญ่คนดังกล่าว
" เรื่องดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเร่งสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำผิดให้ได้โดยเร็ว เพราะการสืบสาวถึงตัวผู้ก่อเหตุทำได้ไม่ยาก เพราะนอกพยานหลักฐานที่พบแล้วยังมีภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นตัวผู้ก่อเหตุอีกด้วย จึงขอให้ ศอ.รส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังให้ได้ อยู่ที่ว่าจะกล้าจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เกิดกลางกรุงเทพฯที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง การที่บุคคลธรรมดาจะเข้ามาก่อเหตุจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย จึงไม่ควรด่วนสรุปใส่ร้ายคนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ โดยที่ผ่านมาแม้ผู้ชุมนุมจะมีจำนวนมาก แต่ไม่เคยพบมีการก่อเหตุรุนแรงใด ๆ
นายพร้อม กล่าวต่อว่า ตนสันนิษฐานว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการจงใจสร้างสถานการณ์ของฝ่ายรัฐเอง เพื่อทำให้เห็นว่าเหตุการณ์รุนแรง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการประกาศขยายระยะเวลาการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรืออาจถึงขั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และต้องการกลบกระแสข่าวความสำเร็จของผู้ชุมนุมในการเคลื่อนพลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 20 มี.ค.53 อีกทั้งมีข้อน่าสังเกตุว่า เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ เกิดขึ้นถึง 7 ครั้งใน 1 สัปดาห์ แต่ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แต่ครั้งนี้มีพยานหลักฐานชัด จึงต้องรอดูว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้หรือไม่