ข่าว

กกมธ.ควบรวม ทรู-ดีแทค จวก กสทช. ดึงคนนอกเข้ามาแทรกแซง ย้ำเรื่องอยู่ที่ศาลปกครอง กฤษฎีกาไม่รับตีความมธ.ควบรวม ทรู-ดีแทค

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศิริกัญญา กมธ.ศึกษาผลกระทบดีลควบรวมทรู-ดีแทค วอน กสทช.มั่นใจในอำนาจตัวเองตามที่ได้รับจากรัฐธรรมนูญในฐานะองค์กรอิสระ ขอให้กล้าหาญที่ใช้อำนาจที่ติดตัวมาพิจารณาการควบรวม อย่าดึงเอาคนนอกมาแทรกแซง แนะการทำงานต้องทำหน้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ประชาชน-รัฐ

วงเสวนาของสภาองค์กรของผู้บริโภคเมื่อวานนี่ (7 ก.ย.2565) ได้มีการระดมความเห็นในกรณีที่ “กสทช. มีอำนาจจัดการควบรวม ทรู-ดีแทคหรือไม่" เพื่อระดมแนวคิด และหาทางออกในการคุ้มครองผู้บริโภค จากสถานการณ์การควบรวมกิจการในธุรกิจ

 


จนถึงวันนี้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะพิจารณาการขอรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรูและดีแทค โดย กสทช.นั้นมีอำนาจในการพิจารณาว่าจะ “อนุญาต” หรือ “ไม่อนุญาต” หรือไม่ และยังส่งเรื่องอำนาจของตัวเองไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาอำนาจของตนเป็นรอบสอง ทั้งที่เป็นเรื่องไม่ควรทำดึงฝ่ายบริหารมาเกี่ยวในหน้าที่กำกับดูแลของตัวเอง

 

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่ผ่านมา กมธ.ได้เคยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการควบรวมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC มาชี้แจงรายละเอียดให้รับทราบโดยมีตัวแทนจากสำนักงานกสทช.มาเป็นผู้ให้ข้อมูล และมักสรุปในประเด็นอำนาจของกสทช.ในการพิจารณาว่าไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตกสทช.ทำได้เพียงแค่รับทราบรายงานการดำเนินการจากเอกชน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว กมธ.ไม่ได้ยืนความเห็นตามสำนักงานกสทช.จึงได้สรุปไปเลยว่า กสทช.มีอำนาจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เกิดการควบรวมตามกฎหมายที่มี

กกมธ.ควบรวม ทรู-ดีแทค จวก กสทช. ดึงคนนอกเข้ามาแทรกแซง ย้ำเรื่องอยู่ที่ศาลปกครอง กฤษฎีกาไม่รับตีความมธ.ควบรวม ทรู-ดีแทค

 

ส่วนกรณีที่สำนักงาน กสทช. ยังดื้อดึงส่งหนังสือไปยังรักษาการนายกรัฐมนตรีหลังจากถูกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปฏิเสธในรอบแรก ด้วยเหตุผลว่าสำนักงาน กสทช.มีอำนาจตีความได้เองอยู่แล้ว และเรื่องนี้เป็นคดีอยู่ในศาลปกครอง ตามกฎหมายแล้วคณะกรรมการกฤษฎีกาจะไม่พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ได้มีมติหรือคำสั่งเป็นการภายในให้พิจารณา

 

แต่ในท้ายที่สุด กสทช.จึงสบช่อง ตรงวรรคท้าย “เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ได้มีมติหรือคำสั่งเป็นการภายในให้พิจารณา” จึงเป็นที่มาในการยื่นหนังสือถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีให้ออกคำสั่งเพื่อขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความรักษาการนายกฯ ก็เซ็นคำสั่งให้ทันที โดยเป็นไปตามที่คณะอนุกรรมการฯที่ปรึกษากฎหมายขึ้นมาอีก 1 ชุดในกรณีการควบรวมโดยมีประธานคณะอนุฯ คือนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการประกอบด้วย นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายจรัญ ภักดีธนากุล ที่เป็นผู้แนะนำให้ยื่นเรื่องต่อกฤษฎีกาผ่านนายกฯก็มาจากมติของอนุฯชุดนี้อีกด้วย

 

นางสาวศิริกัญญา ย้ำว่า ในประเด็นอำนาจของ กสทช.ทั้งที่จริงๆแล้วมีการเขียนกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดเจนทั้งในรัฐธรรมนูญการตั้งองค์กรอิสระหรือในพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯพ.ศ. 2553 ของตัวเอง แต่ที่ต้องตีความกันใหม่เพราะบอร์ดอยากจะเห็นต่างจากศาลปกครองหรือไม่ตรงนี้คือสิ่งที่ยังเคลือบแคลง เพราะศาลปกครองก็ให้ความเห็นว่า ประกาศ กสทช.ว่าด้วยมาตรการควบรวมฯปี 2561 ประกอบประกาศ กสทช.ว่าด้วยมาตรการป้องกันการผูกขาดปี 2549 นั้น ได้ให้อำนาจ กสทช.ที่จะพิจารณา “อนุมัติ” หรือไม่อนุมัติการขอควบรวมธุรกิจได้อยู่แล้วสรุปคือ ศาลปกครองเห็นว่าบอร์ด กสทช.มีอำนาจอนุมัติ ไม่ใช่แค่รับทราบ ซึ่งตรงกับความเห็นตามรายงานอนุกรรมการด้านกฎหมายที่ออกมาก่อนหน้า

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ