ข่าว

เคลียร์ไม่ลงตัว "กระบะ" ขับรถชนพนักงานร้านสะดวกซื้อ เป็นเกือบเจ้าชายนิทรา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รถ "กระบะ" คู่กรณีเบียดเข้ามาชน พนักงานร้านสะดวกซื้อ วัย 17 ปี ทำให้บาดเจ็บสาหัส มีเลือดคั่งในสมอง กระดูกหักหลายจุด ต้องเข้ารับการผ่าตัด จนเกือบกลายเป็นเจ้าชายนิทรา

พ่อแม่ของนายสันติสุข ตามธรรม อายุ 17 ปี พนักงานร้านสะดวกซื้อที่ถูกชาย ขับรถกระบะเฉี่ยวชน ทำให้บาดเจ็บสาหัส มีเลือดคั่งในสมอง กระดูกหักหลายจุด ต้องเข้ารับการผ่าตัด จนเกือบกลายเป็นเจ้าชายนิทรา  เดินทางไปที่ สน.ท่าข้าม เพื่อไกล่เกลี่ยกับคนขับคู่กรณี ขอให้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าเสียหายจากการสูญเสียอวัยวะที่ไม่สามารถใช้งานได้ และค่าทรัพย์สินเสียหาย โดยเรียกความเสียหายทั้งหมดกว่า 7 แสนบาท

นายสันติสุข ผู้บาดเจ็บ เล่าว่าเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริเวณหน้าศาลเจ้าแม่กวนอิม ถนนชายทะเล ตนเองขี่รถจักรยานยนต์อยู่ที่ช่องทางซ้ายสุด ส่วนรถกระบะคู่กรณีอยู่ช่องทางกลาง และเบียดเข้ามาชน โดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ทำให้ตนเองกระเด็นไปกระแทกกับล้อรถกระบะ ก่อนจะหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาหมอแจ้งกระดูกซี่โครงหัก แขนผิดรูป และขาต้องกายภาพบำบัด ส่วนสมองผ่าตัดไปแล้ว 1 ครั้ง

ด้านนางบุญช่วย ตามธรรม อายุ 55 ปี แม่ของผู้บาดเจ็บ เล่าว่าหลังได้รับแจ้งจากที่ทำงานว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุ ก็รีบไปโรงพยาบาลทันที หมอแจ้งว่าอาการลูกชายโอกาสรอดเพียง 10% ต้องผ่าตัดสมองด่วน เพราะมีเลือดคั่งในสมอง สมองบวม และหลังผ่าตัดเสร็จหมอแจ้งว่า มีโอกาสเป็นเจ้าชายนิทรา รวมถึงอาจมีการผ่าตัดรอบที่ 2  อีก หากอาการสมองบวมกลับมา และอาจทำให้ร่างกายน้องรับไม่ไหว และโอกาสเสียชีวิตขณะผ่าตัดสูง น้องต้องนอนไอซียูถึง 1 เดือน แต่ถือว่ายังมีปาฏิหาริย์ที่น้องฟื้นกลับมา แต่ร่างกายก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาบน้ำกินข้าวเองไม่ได้ พ่อและแม่ต้องหยุดงานมาดูแล ขณะที่น้องก็ไม่สามารถไปเรียน ไปทำงานได้ ทั้งที่น้องตัดใจทำงานเพื่อนำเงินมาใช้เป็นค่าเล่าเรียน

ทั้งนี้หลังเกิดเรื่อง คู่กรณีรถกระบะไม่เคยติดต่อมารับผิดชอยค่ารักษาพยาบาลเลย มีแต่แม่ที่ติดต่อไป โดยค่ารักษาพยาบาลน้องกว่า 8 แสนบาท แต่เบิกประกันสังคมได้ส่วนหนึ่ง แม่จึงเรียกค่าเสียหายไป 7 แสนบาท เพราะมองว่าเป็นอาการเกี่ยวกับสมอง อนาคตอาจต้องผ่าตัดอีก และอาจทำให้น้องไม่สามารถกลับไปเรียน ทำงานืหรือใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ แต่คู่กรณีปฏิเสธว่าไม่มีเงินอย่างเดียว ไม่เคยเสนอเงินที่จะสามารถจ่ายให้ได้ ตนเองจึงบอกคู่กรณีว่าคงต้องฟ้อง อีกฝ่ายจึงพูดแค่ว่า คุณแม่จะทำอะไรก็ทำไปเลย และตัดบทบอกมีธุระ

ด้านคู่กรณีที่เดินทางมาไกล่เกลี่ยในวันนี้พร้อมภรรยาสาว ซึ่งอยู่บนรถด้วยวันเกิดเหตุ ยืนยันว่า หลังเกิดเหตุภรรยาของตนเองได้โทรแจ้งรถพยาบาลมาช่วยเหลือ ไม่ได้หลบหนีไปไหน และยังขอให้ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงตามรถกู้ภัยมาช่วยเหลือน้องไปโรงพยาบาลแล้ว ตนเองก็ตามไปโรงพยาบาลและอยู่ดูอาการถึงตี 3 และหลังจากนั้นตนเองก็ยังติดตามอาการตลอดเวลา และเคยแจ้งคุณแม่ไปแล้วว่าจะช่วยค่าเดินทางเบื้องต้น 5,000 บาทไปก่อน แต่คุณแม่ปฏิเสธ และที่คุณแม่เรียกเงินถึง 7 แสนนั้นก็มากเกินไป เพราะสถานการณ์ครอบครัวของตนเองก็ย่ำแย่ รถกระบะก็ถูกยึดไปแล้ว ตนเองไม่สามารถหาได้จริงๆ ซึ่งหากทางคุณแม่จะเรียกเงินจำนวนนี้ ขอให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล

ส่วนตอนแรกที่ตนเองไม่ยอมรับว่าขับชน เพราะตอนนั้นไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชนที่กระบะ จึงมั่นใจว่าไม่ได้ชน แต่เมื่อเจ้าหน้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบ จึงทราบอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากที่พักเท้ารถจักรยานยนต์ไปเกี่ยวกับล้อรถของตนเอง ที่เอียงเข้าไปยังช่องทางของผู้เสียหายแค่ประมาณ 10-15 องศาเท่านั้น ไม่ใช่การเฉี่ยวชน

ด้านนางสาวอำนวยพร มณีวรรณ์ ทีมทนายคลายทุกข์ ที่ดูแลคดีให้ผู้เสียหาย ระบุว่า การไกล่เกลี่ยวันนี้ยังตกลงค่าเสียหายกันไม่ได้ แต่คู่กรณียอมรับว่าประมาทจริง และเนื่องจากเป็นความผิดฐานขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นตำรวจจะนัดสหวิชาชีพมาสอบปากคำผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นเยาวชนในวันเสาร์นี้ ก่อนจะมีการนำตัวคนขับรถกระบะส่งฟ้องต่อศาลต่อไป ซึ่งค่าเสียหายก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในการพิจารณา

logoline