ข่าว

ดร.อนันต์ แจง การเกิด ตุ่มหนอง "ฝีดาษลิง" ในผู้ป่วย พบมีความเข้าใจผิดเยอะ

"ฝีดาษลิง" การเกิด ตุ่มหนอง ใน "ผู้ป่วยฝีดาษลิง" ดร.อนันต์ ระบุ สามารถเกิดได้หลายส่วน ไม่ใช่แค่ส่วนที่สัมผัสเชื้อ พบมีความเข้าใจผิดกันเยอะ

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค สวทช. โพสต์เฟซบุ๊ค Anan Jongkaewwattana ว่า ความเข้าใจผิดข้อหนึ่งเกี่ยวกับการเกิดแผลของ "ฝีดาษลิง" หรือ ตุ่มหนองของ ผู้ป่วยฝีดาษลิง เกิดจากการสัมผัสกับไวรัสที่บริเวณที่เกิดตุ่มหนองนั้นโดยตรง เช่น แผลที่บริเวณจุดซ่อนเร้น หรือ ในปาก ไม่ได้หมายความว่าส่วนของร่างกายบริเวณนั้นสัมผัสกับเชื้อมาก่อน การเกิดตุ่มหนองของ ผู้ป่วยฝีดาษลิง สามารถเกิดได้ในหลายส่วนของร่างกาย

 

หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดยตรง หรือ ผ่านทางละอองฝอยที่มีไวรัสเจือปนอยู่ เซลล์บริเวณนั้นจะสามารถเพิ่มจำนวนไวรัสได้บ้างแต่เป็นปริมาณที่น้อยจนไม่สามารถตรวจวัดได้ ไวรัสที่ได้รับเข้ามาจะถูกส่งไปที่ต่อมน้ำเหลือง และ อวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต และ ม้าม ทางกระแสเลือด เป็นช่วงแรกที่ไวรัสอยู่ในกระแสเลือด (primary viremia) ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณไวรัสมีไม่มาก เพราะไวรัสไม่ได้เพิ่มจำนวนในกระแสเลือดจึงตรวจพบไวรัสได้ยาก เป็นช่วงที่เราเรียกว่า Incubation period หรือ ระยะฟักตัว กินเวลาเฉลี่ยประมาณ 7-9 วัน และ อาจยาวถึง 17 วัน เนื่องจากระยะนี้ปริมาณไวรัสในร่างกายมีน้อยมาก ร่างกายไม่มีอาการใดๆ จึงเชื่อว่า "ผู้ป่วยในระยะนี้ไม่สามารถแพร่เชื้อให้ใครได้"

 

หลังจากที่ไวรัสส่งต่อผ่านทางกระแสเลือดไปยังต่อมน้ำเหลือง ม้าม ตับ หรือ ไต ไวรัสจะเริ่มมีการเพิ่มจำนวนของอนุภาคมากขึ้น ซึ่งร่างกายโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มจับสัญญาณกระบวนการดังกล่าวได้ ร่างกายจะเริ่มมีการต่อต้านการเพิ่มจำนวนของไวรัสเหล่านั้น ด้วยอาการต่างๆ เช่น อาการไข้ อ่อนเพลีย หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดท้อง ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งระยะนี้จะเป็นระยะที่เรียกว่า Prodomal period กินเวลาประมาณ 3-4 วัน และ เนื่องจากไวรัสมีการเพิ่มปริมาณขึ้นแล้ว มีโอกาสที่จะตรวจวัดได้จากตัวอย่างเช่น เลือด น้ำลาย และ เชื่อว่าปริมาณไวรัสที่เพิ่มขึ้นเป็นระยะที่ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้

 

เมื่อไวรัสมีปริมาณมากขึ้น ไวรัสจะส่งผ่านกระแสเลือดอีกครั้ง (secondary viremia) ในปริมาณที่มากขึ้นกว่าครั้งแรกมาก และ ไวรัสสามารถส่งผ่านกระแสเลือดไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผิวหนัง เชื่อว่า ไวรัสสามารถติดเชื้อที่เซลล์ของหลอดเลือดในผิวหนังส่วนหนังแท้ (Dermis) ทำให้เกิดความเสียหายของเซลล์หลอดเลือด และ การอักเสบเกิดขึ้น และ แพร่ไปต่อที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ทำให้มีอาการของตุ่มหนองเกิดขึ้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่ไวรัสมีการเพิ่มจำนวนอยู่เป็นปริมาณมาก จึงเป็นแหล่งของไวรัสที่สามารถแพร่กระจายต่อ ระยะที่มีตุ่มแผลเกิดขึ้นเรีกว่า Rash period ใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยลักษณะของตุ่มแผลก็แบ่งไประยะๆ ได้ตามลักษณะของแผลและอาการ แต่เชื่อว่าไวรัสจะหมดไปจากแผลเมื่อแผลหายสนิทแล้วหลังจากระยะ Scabs 

 

จะเห็นชัดว่า การเกิดตุ่มหนองบนผิวหนังไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นที่จุดแรกที่ร่างกายรับเชื้อเข้ามา ทำไมไวรัสถึงไปที่จุดต่างๆของร่างกาย ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ครับ

 

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Line : https://lin.ee/qw9UHd2
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w

 

รอลุ้น ใครจะเป็น 6 Candidate กับ 8  สาขา Popular Vote คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565 

1 สิงหาคม 65 นี้ รู้กัน 

( https://awards.komchadluek.net/# )
#ลูกทุ่งอวอร์ด65  #ลูกทุ่งAwards65 #คมชัดลึกลูกทุ่งอวอร์ด65 #คมชัดลึกลูกทุ่งAwards65 #โหวตคมชัดลึกลูกทุ่งAwards #โหวตคมชัดลึกลูกทุ่งอวอร์ด65 #รางวัลคมชัดลึกลูกทุ่งอวอร์ด2565 #รางวัลคมชัดลึกลูกทุ่งawords65

 

ข่าวยอดนิยม