9 มาตรการป้องกัน "ฝีดาษลิง" หมอเฉลิมชัย แนะ ยังไม่น่ากังวลมากเท่า โควิด
หมอเฉลิมชัย แนะ 9 มาตรการป้องกัน "ฝีดาษลิง" แบ่งเป็น 7 หลีกเลี่ยง 2 ควรทำ ย้ำ การระบาดยังไม่น่ากังวลมากเท่า "โควิด"
หมอเฉลิมชัย น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ผ่าน blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" ในหัวข้อ ป้องกันตนเองจากการเป็น "ฝีดาษลิง" ด้วย 7 หลีกเลี่ยง 2 ควรทำ จากสถานการณ์การระบาด (Outbreak) ของ "ฝีดาษลิง" ( Monkeypox ) ซึ่ง องค์การอนามัยโลก ( WHO ) ได้ออกประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern) ไปแล้วนั้น
เนื่องจาก "ฝีดาษลิง" ได้เริ่มต้นการระบาดระลอกใหม่ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน นับได้ประมาณ 2 เดือนเศษ มีการแพร่ระบาดไปแล้วมากถึง 75 ประเทศ ผู้ติดเชื้อมากกว่า 16,000 ราย ตลอดจนประเทศไทย ได้มีการวินิจฉัยยืนยัน ผู้ป่วยฝีดาษลิง รายแรกที่ภูเก็ต จึงทำให้สาธารณะสนใจว่า "ฝีดาษลิง" จะต้องดูแลตนเองอย่างไร เพื่อไม่ให้ติดเชื้อ เราจะมาสรุปมาตรการที่ทำได้ง่ายง่าย 9 มาตรการ เป็น 7 หลีกเลี่ยง และ 2 ควรทำ ดังนี้
1) หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายที่ให้บริการทางเพศ
เหตุผล : เนื่องจากพบว่าผู้ติดเชื้อกว่า 90% ล้วนแต่มีประวัติเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็น "ฝีดาษลิง"
2) หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือการมีคู่นอนหลายคนที่ไม่ใช่คู่ของตนเอง
เหตุผล : ผู้ติดเชื้อที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์นั้น ไม่จำเป็นต้องมาจากการซื้อบริการเท่านั้น สามารถติดต่อได้ในรายที่มีความสัมพันธ์แบบสมัครใจ โดยไม่ใช่การขายบริการทางเพศ
3) หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ชัดเจนว่า มีผื่นตุ่มแดง หรือตุ่มหนอง
เหตุผล : ตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง เป็นตำแหน่งที่มีไวรัสจำนวนมาก ติดต่อได้ง่าย
4) หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เช่น การจับมือ การสวมกอด การหอมแก้ม แม้จะไม่ปรากฏว่ามีผื่นหรือตุ่มให้สังเกตเห็น
เหตุผล : แม้จะไม่ได้สัมผัสตุ่มโดยตรง แต่ถ้าผู้ป่วยฝีดาษลิงนำมือไปสมบัติตุ่มของตนเอง แล้วมาสัมผัสบุคคลอื่น ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้
5) หลีกเลี่ยงการใช้เสื้อผ้าข้าวของต่างๆ ร่วมกับบุคคลอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน แก้วน้ำ ช้อนส้อม
เหตุผล : เชื้อไวรัสจากผู้ป่วย สามารถมาอยู่ที่ข้าวของต่างๆดังกล่าวได้ และในระยะหลัง พบว่ามีตุ่มหนองตุ่มน้ำใสบริเวณปากมากขึ้น จึงต้องระวังเรื่องแก้วน้ำและช้อนส้อมด้วย
6) หลีกเลี่ยงการที่ นำมือมาแคะจมูก ขยี้ตา หรือเข้าปาก
เหตุผล : ไวรัสที่ติดมือเรามา สามารถ ผ่านเยื่อบุที่บอบบางดังกล่าวได้
7) หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะ โดยเฉพาะกลุ่มสัตว์ฟันแทะที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น หนู กระต่าย เป็นต้น
เหตุผล : สัตว์ดังกล่าวเป็นพาหะหรือเป็นแหล่งของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง
8) หมั่นล้างมือบ่อยบ่อย
เหตุผล : การล้างมือด้วยสบู่หรือทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้
9) ควรใส่หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่เสี่ยงและใกล้ชิดกับคนเป็นจำนวนมาก
เหตุผล : เชื้อไวรัสก่อ โรคฝีดาษลิง สามารถแพร่ผ่านฝอยละอองขนาดใหญ่ (Droplets) เช่น น้ำมูกหรือเสมหะที่เกิดจากการไอจามออกมาโดยตรง
อย่างไรก็ตาม "ฝีดาษลิง" ยังไม่น่ากังวลมากเท่ากับโรค โควิด19 เพราะ
1) "ฝีดาษลิง" ติดต่อกันยากกว่า โควิด19 เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานการแพร่เชื้อทางฝอยละอองขนาดเล็กทางอากาศ(Aerosal) เหมือน โควิด-19
2) มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันได้แล้ว คือใช้วัคซีนป้องกัน ฝีดาษ คนหรือ ไข้ทรพิษซึ่งมีประสิทธิผลสูง 85% และผู้ที่เคยปลูกฝีมาแล้วในอดีต ยังสามารถป้องกันได้อยู่
3) แม้ยังไม่มียาต้านไวรัส(Antiviral Drug) โดยตรง แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสในกลุ่มใกล้เคียงกัน
4) "ฝีดาษลิง" มีอัตราการเสียชีวิตไม่มากนักคือ 1-10% เมื่อเทียบกับฝีดาษคนที่เสียชีวิต 30% แต่ก็มากกว่าไวรัสโอมิครอนที่ก่อโรคโควิดที่เสียชีวิตเพียง 0.1%
การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเพียงพอ จะทำให้ไม่ตื่นตระหนก และไม่ประมาทเกินเหตุ โดยการดูแลง่ายๆ 9 มาตรการดังกล่าวข้างต้น ทุกคนก็จะปลอดภัยจากการติดฝีดาษลิงได้
หมายเหตุ : หลายมาตรการเป็นสิ่งที่ทำเพื่อป้องกัน โควิด อยู่แล้ว เช่น การล้างมือบ่อยบ่อย การใส่หน้ากากอนามัย การไม่นำมือมาสัมผัสกับเยื่อบุที่บอบบาง เป็นต้น
ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Line : https://lin.ee/qw9UHd2
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w