ข่าว

จ่าเพียรใจเพชร

จ่าเพียรใจเพชร

17 มี.ค. 2553

ผมขอสดุดีและไว้อาลัยกับการเสียชีวิตในหน้าที่ของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เจ้าของฉายา “จ่าเพียรขาเหล็ก”

 วีรบุรุษแห่งบันนังสตา ผู้อุทิศเวลาเกือบ 40 ปี ในชีวิตราชการ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยและให้การดูแลคุ้มครองประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ปลอดจากภัยของเหล่าร้าย เรื่องราวของ “จ่าเพียร” คงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว ว่าท่านเป็นชาวจังหวัดสงขลาเริ่มต้นด้วยการเป็นพลตำรวจมือปราบที่มีผลงานโดดเด่นและผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ทั้งโจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) ขบวนการโจรก่อการร้าย (ขจก.)  ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (พูโล) และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ จนเป็นตำรวจเพียงคนเดียวซึ่งมียศจ่าสิบตำรวจในเวลานั้น ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร เมื่อปี 2525

 ตลอดชีวิตการทำงาน “จ่าเพียร” จะออกลาดตระเวนพื้นที่เป็นประจำ และสร้างความเป็นมิตรและความเข้าใจที่ดีกับมวลชน จนแทบไม่มีเวลาให้แก่ครอบครัว ปะทะกับผู้ก่อการร้ายเป็นร้อยครั้ง ถูกลอบสังหาร 3-4 ครั้ง ซึ่งบางครั้งก็เจ็บหนักแทบเอาชีวิตไม่รอด คุณพิมพ์ชนก ภรรยาของ “จ่าเพียร” ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตลอดชีวิตราชการสามีของเธอไม่เคยได้รับการโยกย้ายจากบันนังสตาไปอยู่ที่ไหน และก็ไม่เคยขออะไรจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เนื่องจากจะเกษียณอายุราชการในปลายปี 2553 นี้ เธอจึงขอเวลาปีสุดท้ายให้สามีอยู่ร่วมกับครอบครัวสักครั้ง “จ่าเพียร” ได้ร้องขอต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอกันตัง จ.ตรัง ที่ว่างอยู่ ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนด้วยดี แต่เมื่อโผโยกย้ายออกมา “จ่าเพียร” ก็ยังคงอยู่ที่บันนังสตาต่อไปจนวาระสุดท้าย แม้ท่านจะเคยบอกกับภรรยาว่า "จะไม่มีวันตายในเครื่องแบบ” ก็ตาม

 ผมคงจะไม่พูดถึงความไม่เป็นธรรมหรือความไม่ชอบมาพากลในการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจฯ ที่จะต้องสอบสวนและทำความจริงให้กระจ่างแก่สังคม แต่อยากจะพูดถึงการใช้บุคลากรซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่าที่หน่วยราชการไทยมักจะไม่ได้ให้ความสำคัญหรือสอดส่องอย่างทั่วถึง เมื่อประกอบกับระบบ

 "ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก" ในปัจจุบัน จึงทำให้คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานแทบจะไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก แต่คนที่ลอยหน้าลอยตาให้นายเห็นหน้าบ่อยๆ หรือขยันเขียนรายงานผลงานตัวเองให้เว่อร์ๆ เข้าไว้ กลับเป็นคนที่เจริญก้าวหน้าในราชการงานเมือง

 ระบบอุปถัมภ์ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งบั่นทอนกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และบ่อนทำลายตัวองค์กรเอง การทำงานแบบไทยๆ นั้น หากไม่มีเส้นสาย หรือผู้ใหญ่คอยอุ้มชูสนับสนุนแล้ว ก็ยากนักที่จะราบรื่นหรือสะดวกสบาย และสิ่งนี้ก็เป็นที่มาของการวิ่งเต้น การขอความสะดวกต่างๆ และ “3 ส ที่ชั่วร้าย” อันได้แก่ เส้น ส่วย และสินบน ทั้งทำให้ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน หากขึ้นอยู่กับการเป็นคนของใคร

 และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการตอบแทนคุณงามความดีแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่างๆ ซึ่งยังขาดแบบแผนที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะในส่วนของการปูนบำเหน็จ รางวัลเชิดชูเกียรติ ค่าตอบแทน สิทธิพิเศษบางประการ สวัสดิการ หรือการดูแลคนในครอบครัว ที่ควรจะให้ปรากฏผลอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจทั้งแก่ตัวเจ้าหน้าที่และคนรอบข้าง มิใช่มายกย่องเมื่อคนที่ทำความดีหาชีวิตไม่แล้ว

 ผมหวังว่าการพลีชีพของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ในครั้งนี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่มีค่าอย่างสูงแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยราชการอื่นๆ ของไทย ในการดูแลเอาใจใส่คนดีๆ ที่อุทิศตัวเพื่อชาติ และคนที่ทำงานโดยไม่เคยโอ้อวดตัวเอง ไม่อยากเห็นกรณีนี้เป็นคลื่นกระทบฝั่งเหมือนเช่นเรื่องราวของผู้กล้าคนอื่นๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และที่อื่นๆ ของประเทศ