ข่าว

"พอร์ส Yes Indeed" เปิดใจยกเลิกสัญญาค่ายเพลง เป็นศิลปินอิสระ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"พอร์ส Yes indeed" กลายเป็นศิลปินอิสระแล้ว! หลัง ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ช่วยพ้นสัญญา ถูกค่ายเพลงเอาเปรียบ

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม  พร้อมด้วย นายนรากร อิสระวรางกูล "พอร์ส วง Yes Indeed Band แถลงข่าว เปิดใจครรั้งแรก ในกรณียกเลิกสัญญาค่ายเพลง พร้อมเล่าถึงช่วงที่ผ่านมา ค่ายทำยังไงกับน้องบ้าง การดำเนินการทางกฎหมายต่อไปหลังจากนี้ และอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อ 

ทนายษิทรา กล่าวว่า น้องพอร์สเล่าให้ฟังว่าน้องมีความใผ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องอาชีพ จึงออกตามความฝันโดยไปร้องหมวกกับแพนเค้ก น้องสาว ที่เอเชียทีค , เยาวราช , สยามสแคว์ และจตุจักร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ก็ร้องมาเรื่อยๆ จนเริ่มมีคนมาติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งได้จัดงานงานมิตติ้งให้เมื่อประมาณ กุมภาพันธ์ 2564

ต่อมาเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2564 น้องชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ ได้มาบอกว่า มีเพื่อนทำค่ายเพลงหนึ่ง จึงชวนให้ไปออดิชั่น ประมาณ 1 อาทิตย์ต่อมา ทางค่ายได้โทรมาบอกให้น้องพอร์สให้เข้ามาเซ็นสัญญา น้องก็เอาสัญญาไปปรึกษาครอบครัวให้รอบครอบก่อน หลังจากนั้นคุณพ่อได้มีการพูดคุยกับทางค่าย ค่ายได้รับปากว่าจะปั้นน้องให้เป็นศิลปิน ส่งเสริมดูแลภาพลักษณ์ หาครูมาสอนน้องให้ร้องเพลงให้ดีขึ้น ซึ่งในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่น้องพอร์สจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย ทางค่ายก็รับปากว่าจะดูแลและหามหาวิทยาลัยที่เหมาะสม น้องสามารถทำกิจกรรมที่รักและเรียนไปได้ควบคู่กัน  คุณพ่อและน้องจึงตัดสินใจให้น้องเซ็นสัญญา ฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2564 หลังจากนั้นประมาณ 7-8 วันทางค่ายได้ให้น้องไปถ่าย shooting เพื่อเก็บเอาไว้เป็นโปรไฟล์ 

หลังจากนั้นทางค่ายได้ทำช่องยูทูบขึ้นมาช่องหนึ่งเพื่อโปรโมทสินค้าของทางค่าย หรือ ก็รับรีวิวสินค้า โดยให้พอร์สถ่ายกับเพื่อน 2-3 เทป ให้ค่าจ้างต่อครั้งเพียง 1,000-1,500 บาท หลังจากนั้นทางค่าย และค่ายเห็นว่าน้องพอร์ส มี Tiktok ที่มีคนติดตามกว่า 1 แสนคน แต่ทางค่ายมีหลักหมื่น จึงให้น้องพอร์ส Collab ทั้ง 2 ช่องเพื่อให้คนติดตามTiktok ทางค่ายเพิ่มโดยแต่ละครั้งที่ให้น้องช่วยโปรโมทใน Tiktok น้องไม่เคยได้ค่าตัว ได้แต่บอกทำเพื่อค่ายไปก่อน หากมีรายได้ค่อยว่ากัน 

หลายเดือนหลังจากทำสัญญากับค่าย ทางค่ายไม่เคยให้คนมาเทรนการร้องเพลง หรือบุคลิก
ต่างๆ และไม่ได้มีการประสานกับมหาวิทยาลัยตามที่ได้มีการตกลง ในตอนนั้นน้องพอร์ส เริ่มท้อ หมดหวัง และคิดว่าตนคงจะไม่มีโอกาสเป็นนักร้องอาชีพ แถมทางค่ายยังได้พยายามให้น้องถ่ายคลิปนุ่งกางเกงในบ็อกเซอร์ จนทางบ้านเริ่มรับ
ไม่ได้ คุณพ่อจึงเริ่มไปคุยกับทางค่ายเรื่องยกเลิกสัญญา โดยบอกว่าลูกของตนจะไปร้องเพลงเปิดหมวกกับเพื่อนๆ แต่ทางค่ายไม่ยอม อ้างว่า น้องสามารถไปเล่นเปิดหมวกได้ โดยทางค่ายจะไม่ยุ่งกับรายได้ของน้องเพราะถือว่าเป็นความสามารถของน้องเอง ระหว่างนั้นคุณพ่อก็พยายามเข้าไปคุยกับค่าย เพื่อขอยกเลิกสัญญารวม 6 ครั้ง แต่ค่ายก็ปฎิเสธเช่นเดิม 

 

"พอร์ส Yes Indeed" เปิดใจยกเลิกสัญญาค่ายเพลง เป็นศิลปินอิสระ


ซึ่งนับตั้งแต่น้องพอร์สทำสัญญากับค่ายตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2564 จนถึงปลายพฤษภาคม 2565 ทางค่ายไม่เคยโปรโมทน้องในช่องทางไอจี หรือเฟซบุ๊กเลย มีแต่ให้ถ่ายคลิปรีวิวสินค้าของค่าย โดยให้คำจ้างถ่ายครั้งละไม่เกิน 1,500 บาท
ขณะที่ครอบครัวน้องพอร์สพยายามคุยกับทางค่ายเพื่อยกเลิกสัญญา น้องพอร์สกับเพื่อนก็พยายามทำตามความฝันของตัวเอง เพลงเปิดหมวกไปเรื่อยๆ จากแค่แพนเค้ก ก็มีสมาชิกในวงเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นมังกร ทะเล และน้องดิน
รวมกันในชื่อวง Yes Indeed Band น้องพอร์สกับเพื่อนเล่นไปเรื่อยๆ จนมีฐานแฟนคลับมากขึ้น จนวันที่ 3 มิถุนายน 2565 เป็นวันที่คนแน่นที่สุด เป็นวันที่สยามแตก สื่อทุกสื่อให้ความสนใจ มีนักร้องรุ่นใหญ่หลายคนมาร่วมร้องเพลงด้วย
 
หลังจากนั้น วันที่ 3 มิถุนายน 2565 ค่ายเพลงเริ่มแชร์ข่าว และโพสเรื่องพอร์ส ในช่องทางของตน โดยแจ้งกับสื่อหลายๆสำนักว่าศิลปินของค่ายตน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดถึงน้องพอร์สมาก่อน และ ก่อนหน้านี้มีนักร้องรุ่นใหญ่แต่งเพลงให้พอร์สแต่ทางค่ายก็ปฏิเสธ แต่หลังจากเป็นข่าวดังทางค่ายโทรกลับไปหานักร้องคนดังกล่าวว่าตกลงเอาเพลงนั้นให้น้องพอร์สร้อง

ทางค่ายรู้ดีว่าคุณพ่อน้องพอร์สพยายามจะยกเลิกสัญญา โดยทุกครั้งคุณพ่อจะบอกว่าเพราะทางค่ายไม่เคยส่งเสริม หรือต้องการปั้นน้องพอร์สจริง ทางค่ายจึงเอารูปที่เคยถ่าย shooting เมื่อ 1 ปีที่แล้ว มาลงโปรโมทว่าพอร์สคือศิลปินคนต่อไปของค่าย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 เพื่อจะได้บอกสื่อว่าตนได้เตรียมให้น้องพอร์สเป็นศิลปิน
ของค่ายและมีค่าใช้จ่ายมาเยอะแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ค่ายไม่เคยส่งเสริมหรือฝึกฝนน้องพอร์สเพื่อเป็นศิลปินแต่อย่างใด แม้แต่ตอนน้องไปร้องเพลงเปิดหมวก หรือทำกิจกรรมให้ทางค่าย หรือออกงานในนามของสนับสนุนอุปกรณ์ดนตรี หรือเครื่องแต่งกายใดๆให้น้องพอร์สเลย สิ่งที่ค่ายมักจะทำคือ ให้น้องพอร์สถ่ายสินค้าให้กับทางค่ายโดยแลกกับเงินเพียงน้อยนิดเท่านั้น 

โดยค่ายได้โทรไปหาสปอนเซอร์ หรือผู้สนับสนุนของวงทุกคนอ้างว่า น้องพอร์สมีสัญญากับทางค่าย จะติดต่องานอะไรก็แล้วแต่ จะต้องผ่านค่าย ก่อน และจะเก็บเปอร์เซ็นต์ทุกงานที่เกี่ยวข้องกับน้องพอร์ส ซึ่งทางค่ายเคยไปเก็บเงินห้างนึงเป็นจำนวน 30,000 บาทด้วย 
 
“ หลังจากนั้นน้องพอร์ส เพื่อนๆในวงและครอบครัวได้มาหาผม เพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไป หมดได้ตรวจสอบสัญญาที่ค่าย EXP ทำกับน้องพอร์สแล้ว คือสัญญาฉบับนี้ทำขณะที่พอร์สเป็นผู้เยาว์ จึงต้องได้รับความยินยอมจากคุณพ่อน้องก่อน เมื่อดูสัญญานี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว สัญญานี้ส่วนใหญ่ให้สิทธิและประโยชน์กับค่าย EXP แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้มีระบุเลยว่าทางค่าย จะต้องให้สิทธิและประโยชน์กับน้องพอร์ส เท่าไหร่ หรือเมื่อใด น้องพอร์สจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะมีรายยังไง เลยไม่สามารถเรียกร้องให้ค่ายจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ให้กับน้องพอร์สได้ เพราะในสัญญาไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าค่ายจะต้องจัดหางาน หรือจ่ายเงินเมื่อใด ผมถือว่าสัญญานี้มีแต่ให้ผลประโยชน์กับค่ายเพียงฝ่ายเดียว “ 
 

  ทนายษิทรา กล่าวต่อว่า แต่ในทางกลับกัน ค่ายกลับได้ประโยชน์จากน้องพอร์ส นับตั้งแต่เซ็นสัญญา สัญญาลักษณะนี้จึงเข้าข่ายของสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อสัญญานี้มีลักษณะจำกัดสิทธิ ปิดกั้นโอกาส ทำให้น้องพอร์สเกิดความยากลำบากในการรับงานต่างๆที่ตนเองจะมีรายได้ และที่สำคัญการที่น้องพอร์ส และเพื่อนๆโด่งดังขึ้นมาได้ ไม่ได้เกิดจากผลงานของทางค่าย แต่เกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของน้องพอร์สทั้งสิ้น 

“ และการที่ค่ายออกมาอ้างถึงข้อสัญญาต่างๆ จึงมีลักษณะเอาเปรียบเด็ก และมีเจตนาที่จะมุ่งแต่ขอส่วนแบ่งรายได้ของน้องพอร์สเป็นหลัก จึงทำให้น้องพอร์สซึ่งเป็นผู้เยาว์นั้น เสียหาย เสื่อมเสีย เสียโอกาส และเสียรายได้ รวมถึงเป็นอุปสรรคต่อการเจริญก้าวหน้าในอาชีพนักดนตรี จึงเข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรค 3 ที่คุณพ่อซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม สามารถบอกเลิกความยินยอมในการที่ผู้เยาว์ทำสัญญาได้และผมได้ทำหนังสือไปถึงค่าย EXP บอกเลิกความยินยอมไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่น้องพอร์สติดสัญญาค่าย 3 ปี เป็นการยกเลิกสัญญาตามกฎหมายแล้ว ไม่ได้ติดสัญญากับใครแล้ว สามารถรับงานได้อย่างอิสระ “ ทนายษิทรา กล่าว 
 
ทั้งนี้ หลังจากนี้หากค่ายมีการแถลงข่าว หรือให้ข่าว ในลักษณะทำให้น้องพอร์สเสียหาย สำนักงาน Sittra Law Firm จะดำเนินการทั้งทางแพ่งและอาญาจนถึงที่สุด


ด้าน นายนรากร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รู้สึกเราเหมือนไม่มีตัวตน พอเราไปเล่นสยามกับเพื่อน ๆ เป็นกระแสขึ้นมา เรารู้สึกว่าค่ายรักเรามากขึ้น เร่งทำเพลงให้เสร็จ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก จากที่แต่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีการซัพพอร์ตอะไรเลย ตนมองว่าไม่ได้พลาด แต่เกิดจากความไม่รู้มากกว่า 

ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตนรู้สึกเสียความรู้สึกมาก ๆ เริ่มต้นจากเรื่องมหาวิทยาลัย ทางค่ายบอกว่าจะมีมหาวิทยาลัยให้ เมื่อเกรดตนไม่ถึง ทางค่ายบอกให้ไปเรียนเอกชนเอา แล้วทิ้ง ไม่สนใจ เมื่อบอกให้ช่วยดู เขาก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับทุน และให้เราไปหาข้อมูลเอง ทำให้เรารู้สึกไม่ดีและเริ่มอยากอยากจะออกจากค่ายตั้งแต่ตอนนั้น 

สำหรับประเด็นที่มีศิลปินชื่อดังแต่งเพลงมาให้แล้วทางค่ายปฏิเสธนั้น เมื่อเพลงออกมา ทางค่ายไม่ชอบเพลง จึงให้ไปแก้เนื้อและแก้เพลงใหม่ พอเวลาผ่านไป ตนรู้นึกว่ามันนานมาก จึงทักไปหาศิลปินป่านนั้นส่วนตัวเพื่อสอบถาม แต่ทางศิลปินบอกว่าทางค่ายไม่เอาเพลง แต่ต่อมา วันที่ 3 มิถุนายน ที่เกิดปรากฎการณ์ที่สยาม ทางค่าย
ติดต่อไปยังศิลปินท่านนั้นเพื่อซื้อเพลง

โดยหลังจากที่เป็นข่าว ทางค่ายก็ไม่ได้มีการติดต่อมาทางตนเลย และตอนนี้ ตนก็ไม่มีสังกัด สามารถรับงานได้อย่างอิสระแล้ว ซึ่งตนรู้สึกสบายใจมาก ที่จะได้ทำตามฝันและทำตามสิ่งที่ตัวเองรักกับเพื่อน ๆ ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องแสดงความคิดเห็นของสังคม แต่คนน้อมรับทุกความคิดเห็น อันไหนที่ไม่ดีก็พร้อมที่จะแก้ไขและปรับปรุงต่อไป 

 

"พอร์ส Yes Indeed" เปิดใจยกเลิกสัญญาค่ายเพลง เป็นศิลปินอิสระ

 

"พอร์ส Yes Indeed" เปิดใจยกเลิกสัญญาค่ายเพลง เป็นศิลปินอิสระ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ