รอด "แอนนา ทีวีพูล" ได้ประกันตัวคดีหวยทิพย์ เผยหากรู้ว่าผิด ไม่ทำแน่นอน

หลังจากเช้าวันนี้ (6 มิ.ย.65) "แอนนา ทีวีพูล" ผู้ต้องหาคดีหวยทิพย์ เดินทางจากประเทศฝรั่งเศส มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชิญตัวมาสอบปากคำที่สน.ทองหล่อ

ต่อมาช่วงบ่ายในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของ "แอนนา ทีวีพูล" เดินทางมาทำเรื่องประกันตัว โดยยืนยันว่า ไม่หนักใจในการสู้คดี หลังสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวข้อหา พนักงานสอบสวนอนุญาตประกันตัวแอนนา ด้วยหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 75,000 บาท

ด้านแอนนา ยอมรับว่า ตนเองมีชื่อ 1 ใน 3 เป็นผู้จดทะเบียนบริษัทแพลตฟอร์ม “โชคดี ล็อตเตอรี่ ออนไลน์” แต่ไม่ได้เป็นผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือบริหารงานในบริษัท เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ ที่ได้รับค่าจ้างเดือนละ 100,000 บาท ไม่ได้มีเจตนาจงใจจะไปกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา เพราะถ้ารู้ว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย การได้เงินค่าจ้างเพียงเท่านี้ คงไม่คุ้มกับชื่อเสียงที่ต้องเสื่อมเสียไป

ส่วนที่เมื่อช่วงเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นมีภาพและคลิปวีดีโอหลุดออกมาพร้อมเป็นข่าวนั้น ไม่คิดเอาผิดดำเนินคดีตำรวจชุดที่ไปควบคุมตัวและถ่ายภาพ รวมทั้งสื่อมวลชนที่นำภาพของตัวเองไปนำเสนอข่าว เพราะตนเองเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งอยู่แล้ว แต่ติดใจตรงที่ตำรวจได้นำภาพคลิปไปเผยแพร่ให้สื่อมวลชน เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับละเมิดสิทธิ์ประชาชนตามกฏหมายเสียเอง ทั้งนี้ขอร้องสื่อมวลชน พาดหัวข่าวและนำเสนอข่าวของตนเองให้ถูกต้อง เพราะไม่ใช่การจับกุม แต่มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว และขอให้ระวังการใช้คำนำข่าวในลักษณะเหยียดเพศ เพราะกระทบต่อความรู้สึก

สำหรับคดีหวยทิพย์ศาล อนุมัติหมายจับ ทั้งหมด 3 คน คือ นายวินรวีร์ ใหญ่เสมอ หรือ ต๊ะ บอยสเกาท์ ทำหน้าที่โฆษณาชักชวน มีตำเเหน่งประธานบริษัท  , นางสาวมินตรา หรือ แนน ขุนสวัสดิ์ อายุ 28 ปี กรรมการบริหารบริษัทผู้มีอำนาจลงนาม  เเละ แอนนา ทำหน้าที่ เป็นผู้บริหารที่โฆษณาและเชิญชวนลูกค้า

ทั้ง 3 คน ถูกดำเนินคดี 3 ข้อหา ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันลักลอบจัดให้มีการเล่นพนันสลากกิน รวบพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ และ ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ