ข่าว

กรมชลฯ มุ่งหน้าสู่ "องค์กรน้ำอัจฉริยะ" ดึงเทคโนโลยีพัฒนาระบบบริหารน้ำ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กรมชลประทาน เดินหน้าพัฒนานำระบบเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีและแม่นยำที่สุดสำหรับ "ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ" (SWOC) ใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการพิจารณาวางแผนการบริหารจัดการน้ำ  

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า หลายโครงการที่กรมได้ร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นได้คืบหน้าไปมากและบางโครงการจบในปีนี้ ซึ่งการพัฒนา "ระบบเทคโนโลยี" เข้าช่วยนั้นเพื่อให้ได้ชุดข้อมูลที่ดีที่สุด อีกทั้งจะเป็นข้อมูลที่เร็วเป็นปัจจุบันและลดอุปสรรคในการเข้าสำรวจในบางพื้นที่บุคลากรของกรมชลฯ สามารถใช้ประกอบพิจารณาใน "การบริหารจัดการน้ำ" ให้มีความแม่นยำ คลาดเคลื่อนน้อยที่สุดภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกที่แปรปรวนเพิ่มขึ้นซึ่งอาจส่งผลผันแปรต่อการพยากรณ์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันจะมีผลต่อ "ความมั่นคงด้านน้ำ" และการบรรเทาอุทกภัย เพราะน้ำคือปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประชาชนทุกมิติ

 

โดยโครงการที่กรมกำลังดำเนินการ อาทิ 1.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ด้วยระบบเรดาร์ Solid-State Polarimetric X-band ซึ่งลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกรมชลประทานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่น (MIC) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2565 ภายหลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ  กรมอุตุนิยมวิทยา การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ได้เสนอให้กรมชลฯ ดำเนินการเนื่องจากเกี่ยวข้องกับ "การบริหารจัดการน้ำ"

 

 

    กรมชลฯ มุ่งหน้าสู่ "องค์กรน้ำอัจฉริยะ" ดึงเทคโนโลยีพัฒนาระบบบริหารน้ำ

 

ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการ เป้าหมาย คือ การตรวจวัดข้อมูลปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่รับน้ำได้อย่างครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักตอนล่าง ทำให้มีชุดการประเมินปริมาณน้ำฝน ปริมาณฝนสะสม ความเข้มฝนและทิศทางของพายุหรือฝน ระบบคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ และระบบการคาดการณ์น้ำฝน-น้ำท่า นำมาสู่การบริหารสถานการณ์น้ำ การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนอุทกภัยได้อย่างทันท่วงที แบบ Real-time จากเดิมที่ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการประเมินน้ำไหลลงเขื่อน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะส่งต่อไปยัง "ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ" (SWOC)

      กรมชลฯ มุ่งหน้าสู่ "องค์กรน้ำอัจฉริยะ" ดึงเทคโนโลยีพัฒนาระบบบริหารน้ำ

 

2.โครงการศึกษาวิจัย "แนวทางบริหารจัดการน้ำ" และคุณภาพน้ำที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย โดยกรมชลฯ ได้ร่วมมือกับ Agricultural Development Consultants Association (ADCA) ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยเลือกอ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี นำร่อง เนื่องจากเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีความสำคัญของเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศ ที่ใช้สนับสนุนในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค

 

สำหรับโครงการศึกษาวิจัยฯ The Study of Efficient Water Management System based on the Advance Telemetry Technology มีการดำเนินการมาแล้ว 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 เป็นโครงการติดตั้งระบบโทรมาตรข้อมูลปริมาณน้ำไหลเข้า (Inflow) และระยะที่ 2 เป็นการศึกษาเรื่องคุณภาพน้ำในพื้นที่อ่างเก็บน้ำบางพระ 1 จุดและในอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 1 จุด และติดตั้งโทรมาตรระดับน้ำเพิ่มอีก 2 จุดคือที่อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำประแสร์

 

ในระหว่างการศึกษา กรมชลฯได้มีการนำผลศึกษามาใช้ในการบริหารอ่างน้ำทั้งการสูบน้ำจากแม่น้ำบางปะกง คลองพระองค์ไชยานุชิตและอ่างเก็บน้ำหนองค้อ ส่งผลให้ไม่กระทบต่อคุณภาพน้ำทั้งในลำน้ำและในอ่างเก็บน้ำ ทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้ในทุกกิจกรรมไม่มีปัญหาภายแล้งรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา แนวทางนี้จะมีการขยายผลไปศึกษาที่อ่างเก็บน้ำอื่น ๆ ต่อไปเพื่อให้ "การบริหารน้ำ" มีความแม่นยำและสามารถบริหารน้ำได้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกมิติ นายประพิศ ระบุ

 

มีโครงการที่กรมดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในปี 2565 คือ โครงการการบูรณาการศึกษาการพยากรณ์ด้านน้ำและอุตุนิยมวิทยาและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย Advancing co-Design of integrated strategies with Adaptation to Climate change in Thailand (หรือ โครงการ ADAP-T) เพื่อให้ได้กลยุทธ์สำหรับวางแผนในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ระยะเวลาโครงการ 5 ปี (จบโครงการเมื่อเดือนมีนาคม 2565) 

 

โดยโครงการ ADAP-T นี้ เป็นฐานข้อมูลให้ประเทศไทยได้มีแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ซึ่งมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ