ข่าว

ไทย ไรซ์ นามา สนับสนุนเกษตรกร "ทำนาลดโลกร้อน"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ไทย ไรซ์ นามา )ชูมาตรการทางการเงิน คน-ละ-ครึ่ง พร้อมสนับสนุนเกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพ "การทำนาลดโลกร้อน"

ที่ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี จ.ปทุมธานี โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน(ไทย ไรซ์ นามา)ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)

 

พร้อมเดินหน้าสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยี "การทำนาลดโลกร้อน" ชูมาตรการการเงิน คน-ละ-ครึ่ง ช่วยเหลือ "เกษตรกร" เข้าถึงการปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ และการจัดการฟางข้าว ตอซังข้าวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตข้าวของไทย

 

ผู้แทนจากโครงการฯ พร้อมด้วยผู้บริหารจาก ธ.ก.ส. และ GIZ ลงนามข้อตกลงร่วมกันที่ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนให้เกษตรกร "ผู้ปลูกข้าวรายย่อย" สามารถเข้าถึงเทคนิคการทำนาลดโลกร้อน อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย

"การทำนาข้าว" เป็นกิจกรรมการเกษตรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 55% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 ของโลกเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ การขังน้ำในนาข้าวในพื้นที่เขตนาชลประทาน ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งมีศักยภาพการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า การขาดแรงจูงใจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรไทยไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงการผลิตข้าวแบบดั้งเดิมไปสู่การผลิตข้าวแบบใหม่ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ "ภาวะโลกร้อน"

 

นายพงษ์พันธ์ จงรักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ชี้แจงว่า ธ.ก.ส.มีแนวคิดต้องการให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนมาผลิตข้าวแบบใหม่ที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ข้าวมีคุณภาพมากขึ้นเกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น รวมทั้งช่วย "ลดโลกร้อน" ด้วยการเสนอมาตรการสนับสนุนทางการเงิน 2 รูปแบบ ประกอบด้วย

 

แพ็กเกจ 1 สำหรับเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเลือกสมัคร หากได้รับการอนุมัติจะได้รับเงินอุดหนุน 50% พร้อมกับเงินทุนหมุนเวียนอีก 50% รวมสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อไร่

 

โปร 2 สำหรับผู้ให้บริการทางการเกษตร เพื่อจัดซื้อชุดอุปกรณ์ปรับหน้าดินด้วยระบบเลเซอร์ (Laser Land Levelling: LLL) โดยให้เงินอุดหนุนถึง 50% ของราคาชุดอุปกรณ์แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย นอกจากนี้ผู้ที่สนใจร่วมเป็นผู้ให้บริการปรับ LLL ยังสามารถขอรับการอบรมที่โครงการฯ จัดให้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

“มาตรการสนับสนุน คนละครึ่งเพื่อการเกษตรชุดนี้ จะช่วยให้ทั้งเกษตรกรและผู้ให้บริการทางการเกษตร ผู้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนภาคการผลิตข้าวของไทยสามารถผลักดันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่มีความสำคัญและจำเป็นยิ่งในการทำนาวิถีใหม่เพื่อ "ลดโลกร้อน"และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  นายพงษ์พันธ์กล่าว
 

โครงการไทย ไรซ์ นามา มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ และได้รับงบประมาณ สนับสนุนจาก NAMA Facility ภายใต้การดำเนินงานโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมการข้าว องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ตลาดข้าวที่ยั่งยืน

 

จัดตั้งระบบเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีแก่เกษตรกร พร้อมส่งเสริมเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตและ "การทำนาลดโลกร้อน" ตามมาตรการ 3 เพิ่ม 3 ลด คือ เพิ่มผลผลิตข้าว เพิ่มคุณภาพข้าว เพิ่มรายได้ ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ "ภาวะโลกร้อน" เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย

 

นายกฤต อุตตมะเวทิน รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า หลักสำคัญของการทำนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย เทคโนโลยี 4 ป. คือ ปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ เปียกสลับแห้ง ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และแปรสภาพฟางและตอซังข้าว โดยเน้นส่งเสริมการปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์

 

การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีหลักที่จะสนับสนุนให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นในการปฏิบัติเทคโนโลยีอื่น เช่น ลดการใช้น้ำและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้สูบน้ำด้วยการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง ลดอัตราการสูญเสียปุ๋ยและข้าวได้รับปุ๋ยสม่ำเสมอทั่วกันทั้งแปลงนาจากการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน

 

ปัจจุบันภาคการเกษตรมีเศษฟางที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวเป็นปริมาณมาก อย่างไรก็ตามเกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการบริหารจัดการฟางข้าวและตอซังเพื่อเป็นทางเลือกในการเพิ่มรายได้และผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้เกษตรกรส่วนใหญ่ตัดสินใจเผาฟางข้าวและตอซัง บ้างก็เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกพืชหมุนเวียนต่าง ๆ จนทำให้ฟางถูกเผาทิ้งอย่างน่าเสียดายซึ่งการเผาฟางอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพสิ่งแวดล้อมจนกลายเป็นมลภาวะและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลให้
สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง  นายกฤตกล่าว

 

นายไรน์โฮลด์ เอลเกส ผู้อำนวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย และมาเลเซีย กล่าวว่า การผลิตข้าวอย่างยั่งยืนจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

 

ประเทศไทยประกาศเจตจำนงในการเข้าสู่สถานะความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องสร้างผลประโยชน์ให้กับทุกคน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้เกษตรกรจำเป็นต้องเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำนาข้าว ในขณะเดียวกันสามารถช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ GIZ มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและเยอรมนี และเราพร้อมเดินหน้าสนับสนุนพันธมิตรภาคเกษตรของไทยต่อไป

 

โดยวางเป้าส่งเสริมเกษตรกรใน 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี จำนวน 100,000 ครัวเรือน ให้รู้จักการทำนาที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลด "ภาวะโลกร้อน" ซึ่งการดำเนินงานของเรานี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรและผู้ให้บริการทางการเกษตรที่เข้าร่วมโครงการ หากพวกเขานำองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้อย่างแพร่หลาย แนวปฏิบัติที่เป็นนวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกได้อย่างแน่นอน  นายไรน์โฮลด์ กล่าว
 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ