ปลุกพลังเหยื่อ "ล่วงละเมิดทางเพศ"  ลุกขึ้นสู้อย่างไม่โดดเดี่ยว

จากกรณีข่าวการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นในขณะนี้ นางพัชรี อารยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ได้เปิดเผยกับทีมข่าวคมชัดลึกออนไลน์ว่า ที่ผ่านมาปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศ และการคุกคามทางเพศ ถูกทัศนคติทางสังคม มองในแง่ลบ ทั้งการถูกตัดสินเรื่องการแต่งกาย การวางตัว และอีกหลายอย่างที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ถูก "ล่วงละเมิดทางเพศ" รู้สึกท้อและไม่กล้าที่จะลุกขึ้นสู้ เพราะความอายและความกลัว

นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คดีทางเพศมีความยากในการเอาผิดผู้กระทำผิด เพราะบางรายไม่กล้าลุกขึ้นสู้ และบางรายใช้เวลานานเกินไปจนหลักฐานที่มีหายไป จึงเป็นเรื่องยากที่กระบวนการยุติธรรมจะสามารถเอาผิดผู้กระทำผิดได้

ปลัดพม. กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันต้องยอมรับว่า กระบวนการยุติธรรม มีความละเอียดอ่อน และเข้าใจ ในคดีเกี่ยวกับเพศมากขึ้น ที่ผ่านมาคดีที่เกี่ยวกับเพศทางการ "คุกคามทางเพศ" และการ "ล่วงละเมิดทางเพศ" การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ใช่แค่เพียง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ฝ่ายเดียว แต่ยังเป็นการร่วมงานกันหลายภาคส่วน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานภาคประชาสังคมต่างๆ อาทิ มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทำให้สามารถช่วยผู้เสียหายจากคดีทางเพศได้จำนวนมาก และสามารถทำให้ผู้เสียหายกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นปกติ

การดูแลผู้เสียหายที่ถูก "ล่วงละเมิดทางเพศ" หรือ "คุกคามทางเพศ" สิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำคือปลุกพลังผู้หญิงให้มีความกล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง และต้องประเมินสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำ เพื่อให้ผู้ที่ถูกกระทำการ "ล่วงละเมิดทางเพศ" ตัดสินใจด้วยตนเองในการลุกขึ้นสู้เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยต้องมีการพูดคุยให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของการลุกขึ้นปกป้องศักดิ์ศรีตนเอง เพราะการตัดสินใจในครั้งแรกเป็นเรื่องยากลำบากที่สุดสำหรับผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ รวมถึงต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้เสียหายว่าจะไม่โดดเดี่ยว ไม่ต่อสู้เพียงลำพัง จะมีหน่วยงานสหวิชาชีพ คอยอยู่เคียงข้างและดูแลตลอดจนสิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม

ต้องยอมรับว่าความยากของคดีที่เกี่ยวกับเพศเกิดจากหลายคดีมีการไกล่เกลี่ยและมีการยอมความ ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วยกับการไกล่เกลี่ย เพราะคดีเหล่านี้ไม่ได้เป็นความเสียหายทางด้านทรัพย์สินแต่เป็นความเสียหายทางด้านร่างกายและจิตใจ จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจกับผู้เสียหายในประเด็นนี้

สำหรับความยากในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในคดีทางเพศคือเรื่องของหลักฐาน เพราะหลักฐานที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นหลักฐานสำคัญ หากผู้เสียหายใช้เวลาตัดสินใจนาน จนหลักฐานปเชิงประจักษ์หายไป

จึงอยากเรียนบอกกับสังคมว่า ในปัจจุบันหากประสบปัญหา "ถูกล่วงละเมิดทางเพศ" ผู้เสียหายสามารถเดินทางไปยังโรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้บริการศูนย์ oscc ในการตรวจร่างกายและเก็บพยานหลักฐานได้หลังเกิดเหตุทันที โดยยังไม่ต้องแจ้งความหรือในบางกรณีก็สามารถที่จะเดินทางไปที่ศูนย์ one stop service ที่โรงพยาบาลตำรวจได้เช่นกัน เพราะศูนย์ one stop service จะดูแลผู้เสียหายตั้งแต่กระบวนการตรวจร่างกายกระบวนการทางสภาพจิตใจ ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากผู้เสียหายสามารถเก็บหลักฐานเชิงประจักษ์ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งสามารถเป็นผลดีต่อการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด

ปลัดพม.กล่าวอีกว่า สำหรับผู้เสียหายในคดีทางเพศที่มีความประสงค์ที่จะเข้ารับการปรึกษาหรือรับความช่วยเหลือ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นความลับ เพราะที่ผ่านมา ได้ทำการช่วยเหลือผู้เสียหายหลายราย และทุกรายก็ยังคงเป็นความลับ และที่ผ่านมาสามารถช่วยให้ชนะคดีได้แทบทุกคดีถ้าหากผู้เสียหายตัดสินใจลุกขึ้นสู้

นางสาวพัชรี ยังฝากบอกผู้เสียหายที่ถูก "ล่วงละเมิดทางเพศ"ทั้งหญิงและชายในสังคม ที่ยังไม่ตัดสินใจลุกขึ้นสู้ ขอให้ลุกขึ้นมาสู้อาจจะไม่ได้สู้เพื่อตัวเองเพราะถ้าหากคุณไม่สู้อาจจะมีเหยื่อรายอื่นเกิดขึ้นได้อีก เพราะผู้ก่อเหตุในคดีลักษณะทางเพศ ไม่ใช่อาชญากรรมที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่หลายๆราย เป็นความผิดปกติทางสภาพจิต ที่ผู้ก่อเหตุอาจจะก่อเหตุซ้ำได้ จึงอยากให้ผู้ที่ถูก "ล่วงละเมิดทางเพศ" ลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองเพื่อคนอื่นและเพื่อสังคมด้วย

เราจะไม่ด่วนตัดสินใคร ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และให้ความสบายใจต่อผู้ถูกละเมิดให้มาปรึกษากับทางปลัดกระทรวง หรือ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวได้แบบปลอดภัย เราจะรักษาความลับให้กับทุกคน

ผู้ต้องการความช่วยเหลือ ติดต่อได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก  ปลัดพัชรี และเฟซบุ๊ก pacharee arayakul ได้ตลอดเวลา