ข่าว

"นายกฯ"ชูนโยบาย เพิ่มสิทธิบัตรทอง ลดความเหลื่อมล้ำรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน

"นายกฯ"ชูนโยบาย เพิ่มสิทธิบัตรทอง ลดความเหลื่อมล้ำรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน

04 เม.ย. 2565

"นายกฯ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ชูนโยบายลดความเหลื่อมล้ำรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน เผยบัตรทอง เข้าใช้บริการสถานพยาบาลของสธ.ได้ทุกแห่งทั่วประเทศโดยไม่ต้องมีใบส่งตัว ระบุสงกรานต์ ขอความร่วมมือประชาชนไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง

"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี" โพสต์เฟซบุ๊กว่า

 

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ

 

ทุกคนทราบดีว่า สุขภาพ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เป็นทั้งพื้นฐานความสุขของชีวิต และปัจจัยพื้นฐานในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของทุกประเทศ ดังนั้น ความมั่นคงทางสุขภาพ ของพี่น้องประชาชนชาวไทย จึงถือเป็นเป้าหมายอันดับแรกของรัฐบาล ที่ต้องมุ่งเน้นการป้องกันและส่งเสริมการรักษาสุขอนามัยในทุกช่วงวัย พร้อม ๆ กับเตรียมสวัสดิการเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างสะดวกและทั่วถึง โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตทางโรคภัยดังที่ทั่วโลกได้เผชิญมาแล้วมากกว่า 2 ปี ทำให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งคิดหานโยบายทุกวิถีทางให้พี่น้องประชาชนมีสุขภาพกายและใจที่ดีที่สุด 

 

ล่าสุด ผู้ที่ถือ บัตรทอง หรือใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้าใช้บริการหน่วยบริการปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุขได้ทุกแห่งทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลประจำอำเภอ โรงพยาบาลประจำจังหวัด สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถไปใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข และคลินิกชุมชนอบอุ่นทั่วกรุงเทพมหานคร โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว กรณีที่มีความจำเป็นก็สามารถเข้ารับบริการจากหน่วยบริการปฐมภูมินอกเครือข่ายได้โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวเช่นกัน และจะไม่มีการเรียกเก็บเงินจากประชาชน แต่ให้มาเรียกเก็บเงินจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แทน

ยิ่งกว่านั้น ผมได้สั่งการให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณายกระดับการให้บริการแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 2557 – 2565 ที่ผ่านมา มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ รวมกว่า 50 รายการ เช่น

 

1. เพิ่มบริการสำหรับแม่และเด็ก : การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การเพิ่มวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (สำหรับนักเรียนหญิงชั้น ป. 5) การป้องกันโรคในหญิงตั้งครรภ์และทารก (8 รายการ) การคัดกรองภาวะ Down Syndrome ในหญิงตั้งครรภ์ (อายุไม่เกิน 35 ปี) การผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมสำหรับเด็กหูหนวก การบริการแว่นตาเด็ก เป็นต้น

 

2. เพิ่มบริการสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง : การดูแลและรักษาระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ การรักษาผู้ป่วยติดบ้านหรือผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน (ทุกสิทธิและทุกกลุ่มอายุ)

 

3. เพิ่มการเข้าถึงบัญชียา : โรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและต่อมน้ำเหลือง โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี การป้องกันและรักษาโรคเอดส์ด้วยยาต้านไวรัส HIV รวมถึงการเพิ่มสิทธิด้านวัคซีน 5 ชนิด (คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) เป็นต้น

4. เพิ่มบริการ : การล้างไตผ่านเครื่องล้างไตอัตโนมัติ การบริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ไหนก็ได้ที่พร้อม การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์) การผ่าตัดวันเดียวกลับบ้านได้ (24 รายการ) การฝังเข็มและหรือกระตุ้นไฟฟ้า (สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือด) การใช้กัญชาทางการแพทย์ (สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน ไมเกรน) เป็นต้น

 

5.ลดความแออัดในโรงพยาบาล : การรับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันใกล้บ้าน (สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หืด จิตเวช และโรคเรื้อรังอื่นๆ) การส่งยา/เวชภัณฑ์ถึงบ้านทางไปรษณีย์ การบริการสาธารณสุขระบบทางไกล(Telehealth/Telemedicine) การตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกโรงพยาบาล เป็นต้น

 

และอีกบริการสำคัญ คือ นโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่ หรือที่เรียกว่ายูเซ็ป (UCEP : Universal Coverage for Emergency Patients) เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต โดยได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัย ไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล ภายใน 72 ชั่วโมง หรือพ้นภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการบูรณาการของ 3 กองทุน (กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ) และในอนาคตจะขยายไปยังกองทุนต่างๆ ต่อไป ทั้งนี้ กรณีมีผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถโทรสายด่วน 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจากสถานการณ์วิกฤตโควิดทั่วประเทศ รัฐบาลจึงได้ยกระดับการให้บริการเป็น ยูเซ็ป พลัส (UCEP Plus)เพื่อให้ผู้ติดเชื้อ สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลใดก็ได้ และรักษาจนกว่าจะหายป่วย  ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย 

 

ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล ที่จะดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุด รวมทั้งยกระดับ มาตรฐานและความมั่นคงด้านสาธารณสุข  ให้กับประเทศไทย ที่ได้รับการชื่นชมจากทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) นำไปสู่การเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์และดูแลรักษาสุขภาพ (Medical & Healthcare Hub) แห่งหนึ่งของโลก และจะยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติที่ได้วางไว้แล้ว โดยมีหลักยึดที่สำคัญ คือ เราจะเดินหน้าไปพร้อมกัน และ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับทุกคน ทุกครอบครัว ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนในการไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 และขอให้ผู้ที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่-ญาติผู้ใหญ่-ผู้สูงอายุ ได้เคร่งครัดตามมาตรการ VUCA ตามที่ ศบค.แนะนำ เพื่อให้ทุกคนปลอดโรคและเป็นสงกรานต์แห่งความสุขครับ