ข่าว

กลเกมเงินกู้4พันล้านให้พม่าใช้เงินหลวงสร้างความร่ำรวยส่วนตนอย่างไร

กลเกมเงินกู้4พันล้านให้พม่าใช้เงินหลวงสร้างความร่ำรวยส่วนตนอย่างไร

05 มี.ค. 2553

ถ้าคุณทักษิณ ชินวัตร คิดจะสร้างกระแสในเวทีระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนตน

  ผู้คนต่างประเทศที่ได้อ่านคำพิพากษาของศาลเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ อย่างละเอียดรอบด้าน จะต้องยืนอยู่คนละข้างกับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างแน่นอน

 เพราะทั้ง 5 กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นชี้ชัดว่า ทักษิณ มีความผิดอย่างชัดเจนที่ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกฯ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและครอบครัวของตนเอง

 ในภาษาฝรั่งนั้น หากพิสูจน์ได้ว่าผู้นำคนไหน abuse of power และตอกย้ำด้วย conflict of interest เป็นอันจบกัน เพราะเท่ากับเป็นการใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ไปสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเอง

 โดยมาตรฐานของการเมืองระดับสากลนั้น ผู้นำคนไหนมีความผิดที่พิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน และพยานว่า abuse of power นั้น ถือว่าหมดสภาพจริงๆ โดยเฉพาะถ้าอ้างว่าได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงล้นหลามของประชาชน

 ยิ่งเมื่อได้ "อาณัติการปกครอง" หรือ mandate อย่างชัดเจนจากประชาชนแล้วมาทรยศความไว้วางใจเช่นนั้น ก็ยิ่งจะถูกประณามหนักหน่วงกว่าปกติ

 ยกตัวอย่างเดียวที่เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศในคดีนี้ คือเงินกู้ของเอ็กซิมแบงก์ไทยที่ให้รัฐบาลพม่ากู้ไป 4,000 ล้าน หากอ่านคำพิพากษาแล้วก็จะเห็นความจงใจของ ทักษิณ ที่จะใช้ความเป็นนายกฯ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ธุรกิจของตน

 ตอนหนึ่งของคำพิพากษาในประเด็นนี้บอกว่า

 "...เห็นว่าในการประชุมระดับผู้นำระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2546 ผู้ถูกกล่าวหาได้อนุมัติให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ร่วมเดินทางกับคณะอย่างเป็นทางการไปด้วย ระหว่างการประชุมยังมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทไทยคมจำนวน 8 คน และบริษัทเอไอเอสจำนวน 2 คน เข้าร่วมทำการสาธิตระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จีเอสเอ็มผ่านดาวเทียม ..."

 ในคำพิพากษานั้นระบุชัดว่า คุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีต่างประเทศขณะนั้น และคุณอภิชาติ ชินวรรโณ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกของกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงกับคุณทักษิณว่า "...อาจมีข้อครหาว่าผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นนายกฯ ของไทยมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการนี้..."

 และประโยคต่อมาของคำพิพากษาบอกว่า

 "ครั้งเมื่อนายสุรเกียรติ์นำเรื่องเสนอต่อผู้ถูกกล่าวหาแล้ว กลับมีคำสั่งด้วยวาจาให้อนุมัติด้วยวงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้นอีกเป็น 4,000 ล้านบาท..."

 (ทางพม่าได้ทำหนังสือขอเพิ่มวงเงินกู้จาก 3,000 ล้าน เป็น 5,000 ล้าน)

 และมีการระบุวัตถุประสงค์ของการใช้เงินสินเชื่อเพื่อซื้อเครื่องจักรและพัฒนาประเทศ "มีลักษณะเป็นทำนองหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าเพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคม อันอาจจะทำให้เกิดข้อครหาแก่ผู้ถูกกล่าวหา ตามที่กรมเอเชียตะวันออกเสนอรายงานไว้..."

 คำพิพากษาตอนต่อมาตัดสินว่า

 "ดังนั้นการพิจารณาและอนุมัติวงเงินกู้สินเชื่อให้แก่รัฐบาลสหภาพพม่าในครั้งนี้นั้น นอกจากจะไม่เป็นไปตามกรอบความร่วมมือของทุกเรื่องดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อไปอีกว่า เป็นการดำเนินการที่มีผลประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทไทยคม..."

 เท่านั้นยังไม่พอ ทักษิณ ยังใช้อำนาจนายกฯ สั่งให้ลดดอกเบี้ยและเงื่อนไขอื่นๆ จนกลายเป็น "การให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งธนาคารตามพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า..."

 ผลก็คือว่าการให้กู้เงินก้อนนี้จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร จึงต้องขอคุ้มครองความเสียหายตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้

 ตามคำพิพากษา ทักษิณ สั่งการให้นำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งเห็นชอบให้ธนาคารให้เงินกู้แก่รัฐบาลพม่าในวงเงิน 4,000 ล้านบาท "หากได้รับความเสียหายก็ให้กระทรวงคลังจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชดเชยแก่ธนาคารตามจำนวนที่เสียหาย และให้ชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยที่ได้รับจากรัฐบาลพม่ากับต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคาร..."
 
 ทักษิณ เคยอ้างว่าที่เขาทำเช่นนั้น บริษัทในเครือชินคอร์ปขายของและบริการด้านโทรคมนาคมให้รัฐบาลพม่าไม่กี่ร้อยล้าน แต่ ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) ได้สัมปทานบ่อแก๊สธรรมชาติที่พม่า

 คำพิพากษาบอกว่า "เป็นการนำเอาเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากล่าวอ้าง"

 เพราะความผิดของ ทักษิณ จริงๆ คือการใช้อำนาจทางการเมืองของตนเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตน ดั่งข้อสรุปของคำพิพากษาที่ว่า

 "...ดังนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 คู่สมรสยังคงถือหุ้นรายใหญ่อยู่อย่างแท้จริงในบริษัทไทยคมและบริษัทชินคอร์ป จึงเป็นผู้ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน บริษัทชินคอร์ป เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทไทยคม โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ถึงกว่าร้อยละ 51 ..."

 และเสริมต่ออย่างชัดแจ้งว่า

 "...กรณีย่อมเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินกู้สินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่รัฐบาลสหภาพพม่า ดังนั้นองค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่าการดำเนินการในกรณีนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทไทยคมและบริษัทชินคอร์ป..."

 เห็นหรือยังว่าตามคำพิพากษานี้ ทักษิณ ในฐานะนายกฯ เอาเงินหลวง (คือภาษีที่เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายจ่ายทุกเดือน) ไปอุดหนุนการให้พม่ากู้เพื่อให้เขาสามารถทำกำไรจากธุรกิจส่วนตัวได้?

 ตกลงใครปล้นใครกันแน่?

สุทธิชัย หยุ่น